แนะนำหนังใหม่ รีวิวหนัง netflix ฮีโร่วายร้าย จากมาร์เวล เรื่อง Morbius (มอร์เบียส) หลังจากที่ภาพยนตืเรื่องนี้ ได้เลื่อนฉายหนีโควิด-19 มานานเกือบปี ในที่สุดก็ได้ออกฉายซักที ซึ่งฮีโร่วายร้ายตัวใหม่นี้ ได้ฉายาว่า “แวมไพร์ที่มีชีวิต” และยังเป็นหนังเรื่องที่ 3 ในจักรวาลสไปเดอร์แมนของโซนี่ สามารถอ่านรีวิวได้แล้วที่นี้ หรือจะหาดูก็ได้ที่ดูหนังใหม่ออนไลน์

เรื่องย่อ มอร์เบียส

มอร์เบียส เรื่องย่อ ว่าด้วยเรื่องของ ‘ดร.ไมเคิล มอร์เบียส’ (Jared Leto) นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการป่วยด้วยโรคเลือดมาตั้งแต่ยังเด็ก เขามีเป้าหมายที่จะค้นคว้าหาวิธีในการสร้างยาที่จะรักษาตัวเอง และเพื่อนร่วมโรคอย่าง ‘ไมโล / ลูเซียส คราวน์’ (Matt Smith) ให้หายจากโรคหายากนี้เสียที โดยมีนักวิทยาศาสตร์สาวคู่รักอย่าง ‘ดร. มาร์ทีน แบนครอฟตฺ์’ (Adria Arjona) เป็นผู้ช่วยเหลือ แต่ในระหว่างที่เขากำลังทำการรักษาโดยใช้ค้างคาว เขากลับพบว่าตัวเองกลายเป็นปีศาจแวมไพร์กระหายเลือด เขาจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อควบคุมความบ้าคลั่งของตนเองให้จงได้
คือเอาจริง ๆ ก็ต้องยอมรับว่า เสียงวิจารณ์ในแง่ลบจากต่างประเทศต่อหนังเรื่องนี้มันช่างหนาหูเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะ 2 จุดที่นักรีวิวต่างประเทศส่วนใหญ่ที่รุมโจมตีหนังเรื่องนี้กันแบบสามัคคีก็คือ บทที่มีปัญหา กับซีจีงานหยาบ ผู้เขียนเองแม้จะพยายามปิดหูปิดตา และพยายามคิดว่า มันก็คงอีหรอบเดียวกับ Venom นั่นแหละ คือดูเอาแอ็กชันและตลกแบบกาว ๆ พอได้ จะหวังให้ Hype ประทับใจเหมือนสไปเดอร์-แมนที่ฉายปลายปีที่แล้วคงจะยากเกินฝันไปหน่อย
Morbius

พล็อต CG และบทต่างๆในหนัง morbius

ก่อนอื่นเกี่ยวกับ CG อันที่จริงหนังเรื่องนี้เป็น CG ผู้เขียนเองไม่ได้รู้สึกว่าต้องทำงานหนักขนาดนั้น จริงๆ แล้วในแง่ของโปรดักชั่นโดยรวม ทั้งการถ่ายภาพ มุมกล้อง และรัศมีสีม่วงเมื่อ Mobius แปลงร่าง แม้แต่ผู้เขียนเองก็แอบรำคาญด้วยเหตุผลบางประการ คำพูดมันดูมีแบบแผน ยิ่งออร่ายิ่งเตะตา แต่ CG โปรดักชั่น การเคลื่อนไหวโดยรวมล้วนได้มาตรฐานพระเอกสมัยนี้ ไม่มีงานไหนหยาบถึงขั้นหยาบคาย

ส่วนในแง่ของพล็อตและบท เอาจริง ๆ ผู้เขียนออกจะชอบตัวพล็อตของหนังนะครับ เพราะตัวพล็อตสามารถดึงเอาแกนจากต้นฉบับคอมิก ที่วางให้มอร์เบียส ไม่ได้เป็นฮีโรที่ต้องออกไปต่อสู้ปกป้องโลก เน้นแอ็กชันแพรวพราวเหมือนฮีโรตัวอื่น ๆ แต่เป็นหนังฮีโรที่เน้นดราม่าสู้ชีวิต ต้องต่อสู้กับโรคร้ายและจิตใจด้านมืดของตัวเอง ที่สามารถเปลี่ยนจากคุณหมอผู้อ่อนโยน กลายเป็นปีศาจสุดน่ากลัวได้ทุกเมื่อ เป็นพล็อตการต่อสู้เล็ก ๆ ที่ถือว่าโอเคเลยแหละ แต่สุดท้ายตัวบทเองนี่แหละครับที่มีปัญหาอย่างแรง อย่างที่สื่อต่างประเทศเขารีวิวกันนั่นแหละ

แม้พล็อตเรื่องจะพยายามตามสไตล์หนังสยองขวัญ ต้องให้เครดิตว่าน่ากลัวจริงๆ แต่ปัญหาของบทคือแม้ว่าเนื้อเรื่องและเรื่องราวของตัวละครจะน่าสนใจ แต่ก็เชยและทื่อมาก แต่พล็อตเรื่องกลับกลายเป็นเหมือนหนังฮีโร่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แทบจะเป็นเส้นตรง ตรงไปตรงมา ใช้สูตร “กำเนิดฮีโร่” ทำให้หนังเล่าเรื่องได้เชยๆ จืดชืด ไม่น่าสนใจ เดาง่ายตั้งแต่องก์แรก ไม่ hype เหมือนหนังฮีโร่เรื่องไหนๆ ในยุคนี้ แถมด้วย มุกไข่นั้นมันไม่ตลกเลย

ข้อบกพร่องอีกอย่างของบทนี้คือมันไม่ได้ให้น้ำหนักกับเรื่องราวมากพอ ดังนั้นกลายเป็นว่าการดำเนินเรื่องดูเหมือนจะไม่ทิ้งเงื่อนงำที่ชัดเจนไว้เลย เรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้กับปีศาจในตัวคุณหรือความรักของมอร์เบียส มาร์ทีนและไมโลดูเหมือนจะไม่ไกลนัก ความครอบคลุมของความสามารถพิเศษของมอร์เบียส ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

ตรรกะในการเลือกสังหารคนของมอร์เบียสก็ดูงง ๆ การใส่ฉากที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม แถมเป้าหมายและแรงจูงใจของตัวละครก็ดันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเมื่อเข้าช่วงไคลแม็กซ์ในองก์สุดท้ายไปเสียอีก กลายเป็นว่าตัวหนังเล่าอะไรได้ไม่สุดสักอย่าง และตัดจบแบบดื้อ ๆ เลย จนพาให้งงว่า ตกลงพี่บ่าวจะเอาอะไรนิ แถมยังพาให้แกนหลักของหนังที่อุตส่าห์วางไว้อย่างดี พังพินาศยับเยินอีกต่างหาก

Morbius

เป็นหนังที่ไม่ค่อยสนุก แต่ก็ถือว่าโอเค

ซึ่งเอาเข้าจริง ถ้าจะดูหนังเรื่องนี้ในฐานะหนังแอ็กชันฮีโรเพลิน ๆ ตะลุยดะไปเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก ก็ถือว่าพอจะถูไถได้อยู่ล่ะนะครับ แต่ถ้าคุณผู้อ่านเป็นคนที่อินกับความเป็น Marvel และอยากดูเพื่อเชื่อมจักรวาลสไปเดอร์-แมน ซึ่งอันที่จริงมันก็พอจะเชื่อมได้ นั่นแหละครับ แต่ถ้าจะดูเพื่อความ Hype ว้าวซ่าน้ำตาแตก ชนิดที่ว่าเดินออกมาจากโรงแล้วคันปากอยากสปอยล์ แนะนำให้ไปดู ‘Spider-Man : No Way Home’ (2021) หรือไม่ก็ข้ามจักรวาลไปดู ‘The Batman’ (2022) อีกซักรอบน่าจะดีกว่าครับ

Morbius ได้รับการโหวตให้เป็นภาพยนตร์ Sony/Marvel ที่น่าผิดหวังที่สุดตลอดกาล ผลงานการกำกับของ Daniel Espinosa นั้นแย่กว่า “Venom: Carnage” ของปีที่แล้วหลายเท่า โดยขาดวิสัยทัศน์และมุมมองที่สดใหม่ มันเป็นการจับภาพของวัฒนธรรมดั้งเดิมของภาพยนตร์ฮีโร่ และแม้แต่สูตรสำเร็จในการพัฒนาเรื่องราวก็ไม่รอดจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ทุกอย่างเป็นอนิจจัง

แม้จะเป็นหนังแอคชั่นฮีโร่ที่มีความยาวไม่มากนัก แต่ฉันมักจะคิดว่าหนังยาวเกินไป ตอนจบเปิดเรื่องมาปูทางตอนต้นได้น่าเบื่อจริงๆ ไม่ใช่เพราะเนื้อเรื่องน่าเบื่อ แต่หนังกลับไม่สามารถสร้างเสน่ห์อะไรมาสื่อให้คนดูได้เลย ภายใน 30 นาทีแรก ฉันอยากจะเอนตัวไปพิงเบาะที่นั่งในโรงภาพยนตร์ นั่งนอนตากแอร์เย็นฉ่ำในโรงเก็บของน่าจะมีประโยชน์กว่า

Morbius

การแสดง

การแสดงของ “จาเรด เลโต” ก็ต้องยอมรับว่าทำเอาไว้ได้ค่อนข้างดี เขาคือองค์ประกอบอย่างเดียวที่น่าจะดีที่สุดในหนังเรื่องนี้ แต่ถึงแม้ว่าจะแสดงดีสักแค่หนัง แต่มาอยู่ในหนังที่ไร้เสน่ห์เช่นนี้ จาเรด เลโต ก็ไม่สามารถช่วยพยุงหนังเอาไว้ได้เลย เช่นเดียวกับ ตัวละครของ “แมตต์ สมิธ” หรือ “เอเดรีย อาโจน่า” พวกเขาต่างรับหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่ไม่มีอะไรที่น่าจดจำได้เลยสักฉากเดียวในหนังเรื่องนี้

ดังนั้น มอร์เบียส จึงเป็นหนังที่ค่อนข้างล้มเหลวในเกือบทุกด้าน เมื่อหนังซูเปอร์ฮีโร่หลายเรื่องพยายามหามุมตั้งมาตรฐานสูงขึ้นเรื่อยๆ หนังเรื่องนี้กลับกลายเป็นหนังที่ลดมาตรฐานของหนังฮีโร่ลงอย่างน่าเสียดาย ไม่ได้หมายความว่าหนังไม่สนุก ยังคงเป็นหนังที่ดูซ้ำได้เรื่อยๆแต่คนดูจะไม่รู้สึกเฉยๆ ไม่อยากนำกลับมาดูอีกเลย

อีกหนึ่งคำถามที่เกิดขึ้นหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ “ไคลแมกซ์ของหนังอยู่ตรงไหน” เพราะหลังจากดูไปไม่กี่ชั่วโมงการเล่าเรื่องของหนังก็ดูไม่มีจังหวะ มันสามารถสร้างความระคายเคืองและความตื่นเต้น มันเป็นหนังต่อต้านฮีโร่ที่ลื่นไหลมาก ไม่มีจุดพีค ไม่มีจุดที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกผูกพันกับหนัง โชคไม่ดี ภาพรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างสิ้นเชิง

ไม่ใช่แค่ตัวหนังเท่านั้น การขาดเสน่ห์ส่งผลต่อฉากพิเศษในตอนท้ายของภาพยนตร์ ว้าวและตื่นเต้นแม้เสียบปลั๊กอยู่ กลายเป็นหนังที่จบได้น่าเบื่อที่สุดเท่าที่เคยดูมา ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย พอเห็นแล้วแบบ “อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม” เดินออกจากโรงหนัง? อย่าแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้

นี่ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ Sony Pictures ทำให้แฟนๆ ได้ชมภาพยนตร์ที่รอคอยมาอย่างยาวนาน กลับมาผิดหวังเพราะขาดเสน่ห์โดยสิ้นเชิง น่าเสียดายที่องค์ประกอบการแสดงของนักแสดงสร้างมาอย่างดี แต่เนื่องจากองค์ประกอบอื่นๆ โดยรวมไม่สามารถยกระดับอารมณ์ของผู้ชมได้ มอร์เบียส จึงกลายเป็นหนังฮีโร่ที่น่าผิดหวัง

จุดที่น่าชื่นชมของหนัง morbius

ถ้าจะมีจุดให้ชื่นชมอยู่บ้าง ก็ต้องชื่นชมนักแสดงหลักทั้ง ส่วน ‘แมตต์ สมิธ’ (Matt Smith) ผู้รับบท ‘ไมโล / ลูเซียส คราวน์’ ก็ถือว่าแสดงได้เข้ากับคาแรกเตอร์แบดบอยดีไม่หยอก และ ‘จาเรต เลโต’ (Jared Leto) เจ้าของบท ‘มอร์เบียส’ นี่แหละครับ ที่รับหน้าแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้แบบหลังแอ่น ด้วยคาแรกเตอร์ที่เข้าถึงมาก ๆ ทั้งตอนเป็นคุณหมอผู้อ่อนโยน และเป็นแวมไพร์ได้อย่างน่ากลัว ที่พอจะพาให้หนังยังพอดูได้แบบเพลิน ๆ
หลังแทบหักทั้งที่บทมันห่วยแตกยังแอบเห็นใจพี่เจษฎ์ในฐานะ “ตัวตลก” แห่งจักรวาลดีซี (“Suicide Squad” (2016)) ไม่เกิดสักที หลังเดินทางมามาร์เวล เขาวางแผนที่จะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบ หลงในหนังฮีโร่ตัวจริงพ่อ

สรุปแล้ว แม้ว่า Morbius Spider-Man จะมีตัวละครและโครงเรื่องที่น่าสนใจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว สคริปต์ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เชยและขาดความดแจ่มใส จนกว่าจะดูเหมือนจะไม่สามารถสร้างเอกลักษณ์เฉพาะและจัดการเพื่อเจาะช่องใน Spider-Verse ได้ บทภาพยนตร์ที่ป่วยๆ และเล่าเรื่องได้ตรงตามสูตรไม่มีการเพิ่มมิติให้ตัวละคร สอดแทรกประเด็นซีเรียสแบบหนังฮีโร่ยุคใหม่ หรือเพิ่มเสน่ห์เฉพาะตัวให้น่าจดจำยิ่งขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *