แนะนำหนังใหม่ รีวิวหนัง netflix ฮีโร่วายร้าย จากมาร์เวล เรื่อง Morbius (มอร์เบียส) หลังจากที่ภาพยนตืเรื่องนี้ ได้เลื่อนฉายหนีโควิด-19 มานานเกือบปี ในที่สุดก็ได้ออกฉายซักที ซึ่งฮีโร่วายร้ายตัวใหม่นี้ ได้ฉายาว่า “แวมไพร์ที่มีชีวิต” และยังเป็นหนังเรื่องที่ 3 ในจักรวาลสไปเดอร์แมนของโซนี่ สามารถอ่านรีวิวได้แล้วที่นี้ หรือจะหาดูก็ได้ที่ดูหนังใหม่ออนไลน์
เรื่องย่อ มอร์เบียส
พล็อต CG และบทต่างๆในหนัง morbius
ก่อนอื่นเกี่ยวกับ CG อันที่จริงหนังเรื่องนี้เป็น CG ผู้เขียนเองไม่ได้รู้สึกว่าต้องทำงานหนักขนาดนั้น จริงๆ แล้วในแง่ของโปรดักชั่นโดยรวม ทั้งการถ่ายภาพ มุมกล้อง และรัศมีสีม่วงเมื่อ Mobius แปลงร่าง แม้แต่ผู้เขียนเองก็แอบรำคาญด้วยเหตุผลบางประการ คำพูดมันดูมีแบบแผน ยิ่งออร่ายิ่งเตะตา แต่ CG โปรดักชั่น การเคลื่อนไหวโดยรวมล้วนได้มาตรฐานพระเอกสมัยนี้ ไม่มีงานไหนหยาบถึงขั้นหยาบคาย
ส่วนในแง่ของพล็อตและบท เอาจริง ๆ ผู้เขียนออกจะชอบตัวพล็อตของหนังนะครับ เพราะตัวพล็อตสามารถดึงเอาแกนจากต้นฉบับคอมิก ที่วางให้มอร์เบียส ไม่ได้เป็นฮีโรที่ต้องออกไปต่อสู้ปกป้องโลก เน้นแอ็กชันแพรวพราวเหมือนฮีโรตัวอื่น ๆ แต่เป็นหนังฮีโรที่เน้นดราม่าสู้ชีวิต ต้องต่อสู้กับโรคร้ายและจิตใจด้านมืดของตัวเอง ที่สามารถเปลี่ยนจากคุณหมอผู้อ่อนโยน กลายเป็นปีศาจสุดน่ากลัวได้ทุกเมื่อ เป็นพล็อตการต่อสู้เล็ก ๆ ที่ถือว่าโอเคเลยแหละ แต่สุดท้ายตัวบทเองนี่แหละครับที่มีปัญหาอย่างแรง อย่างที่สื่อต่างประเทศเขารีวิวกันนั่นแหละ
แม้พล็อตเรื่องจะพยายามตามสไตล์หนังสยองขวัญ ต้องให้เครดิตว่าน่ากลัวจริงๆ แต่ปัญหาของบทคือแม้ว่าเนื้อเรื่องและเรื่องราวของตัวละครจะน่าสนใจ แต่ก็เชยและทื่อมาก แต่พล็อตเรื่องกลับกลายเป็นเหมือนหนังฮีโร่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แทบจะเป็นเส้นตรง ตรงไปตรงมา ใช้สูตร “กำเนิดฮีโร่” ทำให้หนังเล่าเรื่องได้เชยๆ จืดชืด ไม่น่าสนใจ เดาง่ายตั้งแต่องก์แรก ไม่ hype เหมือนหนังฮีโร่เรื่องไหนๆ ในยุคนี้ แถมด้วย มุกไข่นั้นมันไม่ตลกเลย
ข้อบกพร่องอีกอย่างของบทนี้คือมันไม่ได้ให้น้ำหนักกับเรื่องราวมากพอ ดังนั้นกลายเป็นว่าการดำเนินเรื่องดูเหมือนจะไม่ทิ้งเงื่อนงำที่ชัดเจนไว้เลย เรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้กับปีศาจในตัวคุณหรือความรักของมอร์เบียส มาร์ทีนและไมโลดูเหมือนจะไม่ไกลนัก ความครอบคลุมของความสามารถพิเศษของมอร์เบียส ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
ตรรกะในการเลือกสังหารคนของมอร์เบียสก็ดูงง ๆ การใส่ฉากที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม แถมเป้าหมายและแรงจูงใจของตัวละครก็ดันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเมื่อเข้าช่วงไคลแม็กซ์ในองก์สุดท้ายไปเสียอีก กลายเป็นว่าตัวหนังเล่าอะไรได้ไม่สุดสักอย่าง และตัดจบแบบดื้อ ๆ เลย จนพาให้งงว่า ตกลงพี่บ่าวจะเอาอะไรนิ แถมยังพาให้แกนหลักของหนังที่อุตส่าห์วางไว้อย่างดี พังพินาศยับเยินอีกต่างหาก
เป็นหนังที่ไม่ค่อยสนุก แต่ก็ถือว่าโอเค
ซึ่งเอาเข้าจริง ถ้าจะดูหนังเรื่องนี้ในฐานะหนังแอ็กชันฮีโรเพลิน ๆ ตะลุยดะไปเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก ก็ถือว่าพอจะถูไถได้อยู่ล่ะนะครับ แต่ถ้าคุณผู้อ่านเป็นคนที่อินกับความเป็น Marvel และอยากดูเพื่อเชื่อมจักรวาลสไปเดอร์-แมน ซึ่งอันที่จริงมันก็พอจะเชื่อมได้ นั่นแหละครับ แต่ถ้าจะดูเพื่อความ Hype ว้าวซ่าน้ำตาแตก ชนิดที่ว่าเดินออกมาจากโรงแล้วคันปากอยากสปอยล์ แนะนำให้ไปดู ‘Spider-Man : No Way Home’ (2021) หรือไม่ก็ข้ามจักรวาลไปดู ‘The Batman’ (2022) อีกซักรอบน่าจะดีกว่าครับ
Morbius ได้รับการโหวตให้เป็นภาพยนตร์ Sony/Marvel ที่น่าผิดหวังที่สุดตลอดกาล ผลงานการกำกับของ Daniel Espinosa นั้นแย่กว่า “Venom: Carnage” ของปีที่แล้วหลายเท่า โดยขาดวิสัยทัศน์และมุมมองที่สดใหม่ มันเป็นการจับภาพของวัฒนธรรมดั้งเดิมของภาพยนตร์ฮีโร่ และแม้แต่สูตรสำเร็จในการพัฒนาเรื่องราวก็ไม่รอดจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ทุกอย่างเป็นอนิจจัง
แม้จะเป็นหนังแอคชั่นฮีโร่ที่มีความยาวไม่มากนัก แต่ฉันมักจะคิดว่าหนังยาวเกินไป ตอนจบเปิดเรื่องมาปูทางตอนต้นได้น่าเบื่อจริงๆ ไม่ใช่เพราะเนื้อเรื่องน่าเบื่อ แต่หนังกลับไม่สามารถสร้างเสน่ห์อะไรมาสื่อให้คนดูได้เลย ภายใน 30 นาทีแรก ฉันอยากจะเอนตัวไปพิงเบาะที่นั่งในโรงภาพยนตร์ นั่งนอนตากแอร์เย็นฉ่ำในโรงเก็บของน่าจะมีประโยชน์กว่า
การแสดง
การแสดงของ “จาเรด เลโต” ก็ต้องยอมรับว่าทำเอาไว้ได้ค่อนข้างดี เขาคือองค์ประกอบอย่างเดียวที่น่าจะดีที่สุดในหนังเรื่องนี้ แต่ถึงแม้ว่าจะแสดงดีสักแค่หนัง แต่มาอยู่ในหนังที่ไร้เสน่ห์เช่นนี้ จาเรด เลโต ก็ไม่สามารถช่วยพยุงหนังเอาไว้ได้เลย เช่นเดียวกับ ตัวละครของ “แมตต์ สมิธ” หรือ “เอเดรีย อาโจน่า” พวกเขาต่างรับหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่ไม่มีอะไรที่น่าจดจำได้เลยสักฉากเดียวในหนังเรื่องนี้
ดังนั้น มอร์เบียส จึงเป็นหนังที่ค่อนข้างล้มเหลวในเกือบทุกด้าน เมื่อหนังซูเปอร์ฮีโร่หลายเรื่องพยายามหามุมตั้งมาตรฐานสูงขึ้นเรื่อยๆ หนังเรื่องนี้กลับกลายเป็นหนังที่ลดมาตรฐานของหนังฮีโร่ลงอย่างน่าเสียดาย ไม่ได้หมายความว่าหนังไม่สนุก ยังคงเป็นหนังที่ดูซ้ำได้เรื่อยๆแต่คนดูจะไม่รู้สึกเฉยๆ ไม่อยากนำกลับมาดูอีกเลย
อีกหนึ่งคำถามที่เกิดขึ้นหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ “ไคลแมกซ์ของหนังอยู่ตรงไหน” เพราะหลังจากดูไปไม่กี่ชั่วโมงการเล่าเรื่องของหนังก็ดูไม่มีจังหวะ มันสามารถสร้างความระคายเคืองและความตื่นเต้น มันเป็นหนังต่อต้านฮีโร่ที่ลื่นไหลมาก ไม่มีจุดพีค ไม่มีจุดที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกผูกพันกับหนัง โชคไม่ดี ภาพรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างสิ้นเชิง
ไม่ใช่แค่ตัวหนังเท่านั้น การขาดเสน่ห์ส่งผลต่อฉากพิเศษในตอนท้ายของภาพยนตร์ ว้าวและตื่นเต้นแม้เสียบปลั๊กอยู่ กลายเป็นหนังที่จบได้น่าเบื่อที่สุดเท่าที่เคยดูมา ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย พอเห็นแล้วแบบ “อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม” เดินออกจากโรงหนัง? อย่าแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้
นี่ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ Sony Pictures ทำให้แฟนๆ ได้ชมภาพยนตร์ที่รอคอยมาอย่างยาวนาน กลับมาผิดหวังเพราะขาดเสน่ห์โดยสิ้นเชิง น่าเสียดายที่องค์ประกอบการแสดงของนักแสดงสร้างมาอย่างดี แต่เนื่องจากองค์ประกอบอื่นๆ โดยรวมไม่สามารถยกระดับอารมณ์ของผู้ชมได้ มอร์เบียส จึงกลายเป็นหนังฮีโร่ที่น่าผิดหวัง
จุดที่น่าชื่นชมของหนัง morbius
ถ้าจะมีจุดให้ชื่นชมอยู่บ้าง ก็ต้องชื่นชมนักแสดงหลักทั้ง ส่วน ‘แมตต์ สมิธ’ (Matt Smith) ผู้รับบท ‘ไมโล / ลูเซียส คราวน์’ ก็ถือว่าแสดงได้เข้ากับคาแรกเตอร์แบดบอยดีไม่หยอก และ ‘จาเรต เลโต’ (Jared Leto) เจ้าของบท ‘มอร์เบียส’ นี่แหละครับ ที่รับหน้าแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้แบบหลังแอ่น ด้วยคาแรกเตอร์ที่เข้าถึงมาก ๆ ทั้งตอนเป็นคุณหมอผู้อ่อนโยน และเป็นแวมไพร์ได้อย่างน่ากลัว ที่พอจะพาให้หนังยังพอดูได้แบบเพลิน ๆ
หลังแทบหักทั้งที่บทมันห่วยแตกยังแอบเห็นใจพี่เจษฎ์ในฐานะ “ตัวตลก” แห่งจักรวาลดีซี (“Suicide Squad” (2016)) ไม่เกิดสักที หลังเดินทางมามาร์เวล เขาวางแผนที่จะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบ หลงในหนังฮีโร่ตัวจริงพ่อ
สรุปแล้ว แม้ว่า Morbius Spider-Man จะมีตัวละครและโครงเรื่องที่น่าสนใจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว สคริปต์ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เชยและขาดความดแจ่มใส จนกว่าจะดูเหมือนจะไม่สามารถสร้างเอกลักษณ์เฉพาะและจัดการเพื่อเจาะช่องใน Spider-Verse ได้ บทภาพยนตร์ที่ป่วยๆ และเล่าเรื่องได้ตรงตามสูตรไม่มีการเพิ่มมิติให้ตัวละคร สอดแทรกประเด็นซีเรียสแบบหนังฮีโร่ยุคใหม่ หรือเพิ่มเสน่ห์เฉพาะตัวให้น่าจดจำยิ่งขึ้น