รีวิว ชาง-ชี กับตำนานลับเท็นริงส์
หลังทลายสถิติด้านรายได้จากการเข้าฉายโรง หนังNetflix ในสหรัฐอเมริกาช่วงวิกฤติโควิด-19 ‘Shang-Chi and the Legend of The Ten Rings’ ก็ได้ฤกษ์ฉายโรงหนังเมืองไทยแล้วในวันนี้ และเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรมาร์เวลเราก็ต้องมาดูกันล่ะว่าซูเปอร์ฮีโรชาวเอเซียคนแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์มาร์เวลจะเรียกศรัทธาจากแฟนเดนตายได้มากแค่ไหน เหวินหวู่ (เหลียงเฉาเหว่ย) จอมพลผู้ครองวงแหวนอำนาจทั้งสิบได้แผ่ขยายอำนาจของตนออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาลในฐานะขุนพลไร้พ่ายและอำนาจของวงแหวนยังเหมือนเป็นยาอายุวัฒนะที่ทำให้เขาไม่มีวันชราและดูหนุ่มตลอดเวลา เหวินหวู่ได้
ยินเรื่องราวของ “ถาโหล” ดินแดนมหัศจรรย์ที่มีเหล่าสัตว์วิเศษและเวทมนตร์มากมายแต่กลับกลายเป็นหลี่ (ฟาลา เฉิน Fala Chen) สาวเมืองถาโหลที่เขาได้มาครองจนให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวคู่หนึ่งนาม ชาง-ชี (ซื่อมู่ หลิว Simu Liu) กับ เซี่ยหลิง (จางเหมิงเอ๋อ Meng’er Zhang) หลังจากแม่ถูกฆ่าตายโดยศัตรูของเหวินหวู่ ชาง-ชีได้หนีไปยังซานฟรานซิสโกแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นชอว์นทำอาชีพพนักงานรับจอดรถเลี้ยงชีพคู่กับ เคที (อควาฟีนา Awkwafina) เพื่อนสาวสุดห้าวแต่เมื่อวันดีคืนดีแก๊งเท็นริงส์ของเหวินหวู่ได้ปรากฏตัวเพื่อ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี
ตามเขากลับไปหาพ่อสุดอำมหิต อดีตที่ตามหลอกหลอนกำลังพาเขากลับไปยังถาโหลอีกครั้ง เพื่อปกป้องมันจากเหวินหวู่ที่ถูกอำนาจมืดครอบงำและอาจปลดปล่อยภัยร้ายที่อาจทำลายโลกใบนี้ได้ในพริบตา ด้วยความยาวหนังร่วม 2 ชั่วโมง 12 นาที ก็นับว่า เดสติน แดเนียล เครตทัน (Destin Daniel Cretton) บริหารจัดการเวลาได้อย่างคุ้มค่าทีเดียวทั้งการใช้ซีเควนซ์แรกในการบอกเล่าที่มาของตำนานเท็นริงส์ (Ten Rings) หรือสิบวงแหวนมรณะกับที่มาที่
ไปของเหวินหวู่และการถือกำเนิดของชาง-ชีและน้องสาว ต่อด้วยเหตุการณ์ปัจจุบันที่ชาง-ชีได้มาอยู่ซานฟรานซิสโกและแนะนำตัวละครตัวฮาของเรื่องอย่างเคที ก่อนจะเล่าตัดสลับไปยังดราม่าครอบครัวที่ทำให้พ่อและลูก ๆ ต้องกลับมาห้ำหั่นกันซึ่งก็เต็มไปด้วยฉากแฟลชแบ็กและอารมณ์ดราม่าเข้มข้น
แต่ต้องยอมรับว่าเมื่อตัดเกรดแยกเป็นส่วน ๆ แล้วเราจะพบว่าเครตทันยังไม่สามารถทำให้ฉากแอ็กชันในหนังออกมาดูว้าวเท่าที่ควรซึ่งก็เข้าใจได้สำหรับมือใหม่ที่ถนัดแต่หนังดราม่า แต่ใช่ว่าเครตทันจะไม่รู้ตัวและแก้เกมไม่ทันนะครับตรงกันข้ามเขากลับเบนเข็มเรื่องราวให้มีความเป็นคอมเมดี้กับมุกแซวชาวเอเซียแสบ ๆ คัน ๆ ทั้งเรื่องความคาดหวังของพ่อแม่และการอวดเบ่งของกลุ่มเพื่อนซึ่งก็ได้ไปหลายฮาทีเดียวทั้งจากซื่อมู่ หลิวและอควาฟินาที่เล่นมุกกันได้เข้าขามากจนทุกซีนที่มีทั้ง
สองคนนี้อยู่กลายเป็นไฮไลต์ที่ทำให้หนังออกมาสนุกและไม่น่าเบื่อเลย แม้อควาฟีนาจะหมั่นขโมยซีนจนซื่อมู่ หลิวดูหม่นไปหลายซีนก็ตาม อีกหนึ่งนักแสดงที่ถือเป็นไฮไลต์และถูกพูดถึงอย่างมากคือการแสดงฝีมือของนักแสดงเอเซียที่เพิ่งประเดิมงานฮอลลีวูดอย่างเหลียงเฉาเหว่ยที่ทำให้บทเหวินหวู่ดูมีมิติมีเลือดมีเนื้อมากกว่าผู้ร้ายบ้าอำนาจแบน ๆ ซึ่งเฮียเหลียงก็ยังคงฝีไม้ลายมือและ
ละเอียดกับแอ็กติงทุกเม็ดจนสมแล้วที่นักวิจารณ์จะชื่นชมและยกย่องการแสดงของดาราระดับตำนานของฮ่องกงรายนี้ แต่กระนั้นดู ๆ ไปก็รู้สึกเหมือนกันว่าเฮียเหลียงแกแอบบดบังรัศมีพระเอกอย่างซื่อมู่ หลิวไม่น้อยเลย ซึ่งลำพังแค่เจออควาฟีนาขโมยซีนก็แทบจะทำให้พระเอกของเราดูจืดไปมาพอแล้ว นอกจากนี้หนังยังมีการปรากฎตัวของนักแสดงเอเซียชื่อดังอย่าง มิเชล โหย่ว (Michelle Yeoh) ที่มารับบทหยิงหนาน ป้าของชาง-ชีกับเซี่ยหลิง และก็ได้โชว์ลีลาร่ายรำไทเก็กอันอ่อนช้อยในหนังด้วย ส่วนฟาลา เฉิน ดาราเชื้อสายจีนระดับอินเตอร์ แม้จะ
เรื่องย่อ รีวิว ชาง-ชี กับตำนานลับเท็นริงส์
มาไม่นานแต่ก็จับสายตาผู้ชมด้วยความงามและฝีมือการแสดงในฉากแฟลชแบ็กที่น่าจะทำให้หลายคนนึกถึงแม่ในวัยเด็กไม่น้อย ส่วนจางเหมิงเอ๋อในบทเซี่ยหลิงก็มีใบหน้าที่เก๋ไก๋และอาจจะมีบทบาทสำคัญในเอ็มซียู (MCU) เฟส 4 ต่อไปไม่แพ้ตัวละครชาง-ชีเลยทีเดียว หนังฟรี หนังใหม่
ข้อสังเกตหนึ่งที่ผมจับได้จากฉากแอ็กชันของหนังคือมันได้รับอิทธิพลมาจากหนังจีนดัง ๆ ไม่น้อยเลยทีเดียวทั้งฉากเปิดเรื่องที่เหมือนยกหนังกำลังภายในสไตล์จางอวี้โหมวที่ดูแช่มช้อยและตื่นตาตื่นใจแถมยังมีฉากที่เซี่ยหลิงใช้มีดสั้นติดเชือกซ้อมฝีมือที่ทำให้นึกถึงฉากในหนัง ‘The House of Flying Daggers’ หรือ ‘จอมใจบ้านมีดบิน’ ของเฮียจางอวี้โหมวไม่น้อยเลยทีเดียว
รวมไปถึงฉากโปรโมตของหนังทั้งฉากต่อสู้ในรถเมล์ที่กำลังวิ่งอยู่ก็แทบจะเป็นการคารวะ ‘The Police Story’ หรือ ‘วิ่งสู้ฟัด’ ของเฉินหลงและแน่นอนว่ามันต้องมีฉากบู๊ฉากบังคับที่มาเก๊าอย่างการปีนป่ายบนไม้ที่เราคุ้นตามาจากหนังเฉินหลงในฮอลลีวูดอย่าง ‘Rush Hour2’ ซึ่งก็ทำให้เห็นว่าทีมเขียนบทของหนังซูเปอร์ฮีโรมาร์เวลเรื่องนี้น่าจะเป็นแฟนหนังจีนตัวยงเลยทีเดียว
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่ต้องบอกว่าหนังจบแล้วอย่าพึ่งรีบลุกเพราะมันมีฉากแถมทั้งในช่วงระหว่างขึ้นเอนด์เครดิตและฉากหลังเครดิต ซึ่งมันมีหน้าที่ทั้งต้อนรับสมาชิกอย่างชาง-ชีและบอกความเป็นไปของตัวละครในเรื่อง ซึ่งอันที่จริงหนังยังแอบจิกกัดหนังในเอ็มซียูเองด้วยการปรากฎตัวของนักแสดงรับเชิญคนหนึ่งแต่เป็นใครไปดูกันในโรงหนังเอาเองแล้วกันนะ แต่รับรองว่าอย่างปั่น (ฮ่าาาาาาา)
หลังจากหนังฮีโร่มาร์เวลจบเฟสไปพร้อมกับ Avengers : End Game ทางมาร์เวลเลยตัดสินใจเริ่มต้นเฟสใหม่ด้วยฮีโร่ชุดใหม่ที่มีพลังน้อยลง และมีความหลากหลายมากขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้กำกับได้ใส่ไอเดียใหม่ๆ และแสดงความเป็นตัวของตัวเองมาก ขึ้น สำหรับชาง-ชีเราเลยได้เห็นหนังฮีโร่ที่ต่อสู้ด้วยกังฟู ฉากต่อสู้ลดความอลังการ ลดงาน CG ลง และเน้น Practical มากขึ้น ต้องบอกว่าเป็นหนังมาร์เวลที่ทำฉากแอ็กชั่นได้ดีแบบผิดหูผิดตาเลยทีเดียว ผนวกกับ Simu Liu พระเอกของเราที่เริ่มต้นอาชีพ
การแสดงด้วยการเป็นสตั๊นท์แมนด้วยทำให้เขาสามารถสตั๊นท์เองได้ และไม่ต้องพึ่งมุมกล้องและการตัดฉากมาช่วย ทำให้ได้ฉากแอ็กชั่นที่ลื่นไหลและสมจริง สำหรับฉากแอ็กชั่นสองฉากแรกคือในรถเมล์และบนตึกค่อนข้างชัดเจนว่าได้แรงบันดาลใจมาจากฉากแอ็กชั่นของเฉินหลงแบบเต็มๆ แต่น่าเสียดายที่มันหายไปหลังจากผ่านฉากเหล่านี้ไปแล้ว อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเหลียงเฉาเหว่ยที่แสดงดีมาก แสดงดีระดับกลบรัศมีคนอื่นๆ จนมิด และทำให้คนอื่นๆ ดูแสดงไม่ดีไปเลยทีเดียว
ด้านเนื้อเรื่องถือว่ามีความแปลกใหม่จากหนังมาร์เวลเรื่องอื่นๆ พอสมควรเลยครับ ทั้งปมและที่มาที่ไปที่น่าสนใจ Eater Egg ที่ใส่มาได้อย่างพอเหมาะพอดี ตัวละครแต่ละตัวค่อนข้างมีเสน่ห์เป็นของตัวเอง แต่ดันมาตายตอนจบที่ถูกหักมาเข้าสูตรจนเกินไป ยังไม่รวมที่ตอนท้ายๆ เหมือนทุกคนจะลืมแอ็กชั่นแล้วกลายเป็นมหกรรมจ้อง CG มากไปหน่อยจนน่ารำคาญ Shang-Chi คือหนังที่มาพร้อมกับทีมนักแสดงกว่า 80% ของทั้งเรื่องมีเชื้อสายเอเชียทั้งหมด แต่พวกเขาต้องมาทำงานกับทีมงานฝรั่งฮอลลิวูดเป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกัน จึงกลายเป็นการทำงานที่มีความแตกต่างทางพื้นเพ และกลับสามารถทำให้ชง
รสชาติออกมาได้กลมกล่อมและอร่อยถึงลิ้นได้กำลังพอดีเลย “ดัสติน แดเนียล เครตตัน” มารับหน้าที่กำกับหนังเรื่องนี้ เครดิตหนังที่ผ่านมาของเขาก็มีแต่หนังดราม่าน้ำดีมาโดยตลอด เมื่อต้องมาหยิบงานสร้างระดับมหึมาขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่า…เขาทำดีใช้ได้อยู่ สัมผัสได้ถึงความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จากการใช้ 3 นักเขียนมาระดมเขียนบทหนังช่วยกันในเรื่องนี้ ทั้งตัวผู้กำกับเองที่มาร่วมออกไอเดียกับ “เดฟ คอลลาแฮม” (จาก Mortal Kombat) กับ “แอนดูรว์ ลันแฮม” (จาก Just Mercy) แล้วยังใส่
ขั้นตอนการทรีตเมนต์บทหนังเพิ่มเข้าไปอีก เพื่อดูแลองค์ประกอบต่างๆ ในหนังออกมาให้สมบูรณ์แบบที่สุด ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาต้องยอมรับว่า Shang-Chi ทำออกมาได้เหนือกว่าที่คาดเดาเอาไว้ และทุกๆ อย่างไม่ได้มีแค่ที่ปรากฏอยู่ในทีเซอร์ตัวอย่างจริงๆ ความพยายามจับต้องและใส่วัฒนธรรมจีนเข้ามาในหนังเรื่องนี้ ไม่มากและไม่น้อยเกินไป แม้ว่าโครงเรื่องหลักไม่อาจจะหนีพ้นความเป็นจีนได้เลย แต่สามารถสื่อสารออกมาในรูปแบบจีนที่สากลเข้าถึง หนังไม่ได้หยิบเอาวัฒนธรรมจีนจ๋าๆ ใส่เข้ามา
รีวิว ชาง-ชี กับตำนานลับเท็นริงส์
มากมาย เพียงแต่หยิบยืมความงดงามของรูปแบบวัฒนธรรมนี้มาใช้เป็นเส้นเรื่องและเล่าเรื่อง ที่นับว่าเป็นการตอบโจทย์ปฐมบทของฮีโร่เชื้อสายเอเชียผู้นี้เป็นอย่างดี อีกหนึ่งองค์ประกอบที่หนังทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยก็คือ การดีไซน์ตัวละครต่างๆ ที่สร้างมิติให้กับทุกคาแรกเตอร์ในหนังได้ดีเกือบจะทุกตัวเลยก็ว่าได้ แม้ว่าหนังจะโฟกัสอยู่ที่ ชาง-ชี เป็นหลัก แต่กลับไม่ได้ฉากไฟสปอตไลต์ไปใส่ไว้ที่เขาเพียงคนเดียว ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์
หนังได้ทำการกระจายบทบาทต่างๆ ให้กับทุกตัวละครเหมือนเป็นคนสำคัญเทียบเท่าเกือบจะเท่ากันหมด ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่หนังที่เล่าเฉพาะเรื่องของชาง-ชีเท่านั้น “ซือมู่ หลิว” ที่ใครๆ เห็นผิวเผินก็อาจจะบอกว่าเขาก็เป็นแต่หนุ่มตี๋ธรรมดาๆ (แน่นอนว่าเขาโดนบูลลี่เอาไว้เยอะ ตั้งแต่ได้รับเลือกให้กับรับบทนี้) แต่อยู่ในจอหนังเรื่องนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ซื่อมู่เต็มไปด้วยเสน่ห์อันแปลกประหลาดที่ทำให้ชวนดูรู้สึก
คล้อยตามเขาไปด้วยในทุกฉาก เขาไม่ใช่ฮีโร่สายประชานิยมในเบื้องต้น แต่การถ่ายทอดบทบาทนี้ในฉบับเป็นตัวเองของเขานั้น ขับพลังและออร่าของตัวละครและพยุงหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้ดี “อควาฟิน่า” ที่เอาจริงๆ นึกว่าจะใส่เข้ามาแค่เป็นนักแสดงหญิงตัวโจ๊ก คอยแย่งซีนเฉยๆ เท่านั้น แต่มาร์เวลจริงจังกับตัวละครของเธอมากกว่านั้น และสร้างมิติให้กับคาแรกเตอร์นี้ได้อย่างน่าสนใจและยังปูทางเอาไว้ให้ยาวๆ อีกด้วย ขณะที่นักแสดง
สมทบคนอื่นๆ ของเรื่องก็โดดเด่นแทบจะทุกคน ไม่ว่าจะเป็น “จาง เหมิงเอ่อร์”, “มิเชล โหย่ว”, “ฟาลา เฉิน” หรือ “เบน คิงส์ลีย์” รายหลังนี้มาเพื่อขโมยซีนโดดเด่นประจำเรื่องนี้อย่างแท้ทรูและที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้เลยก็คือ “เหลียง เฉาเหว่ย” ที่โดดเด่นมากๆ ในหนังฮีโร่มาร์เวลเรื่องนี้ อีกนิดเดียวเขาก็จะกลายเป็นพระเอกของเรื่องนี้ไปแล้ว ด้วยประสบการณ์และพลังความเป็นสตาร์ของเขาเฉิดฉายมากๆ ในหนัง การมาเล่นหนังฮอลลิวูด
เต็มตัวในครั้งนี้ของเขาถือว่าเป็นผลงานที่ค่อนข้างเพอร์เฟค พร้อมด้วยมิติของตัวละครที่วางเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า…เขาเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ระยะเวลา 2 ชั่วโมงนิดๆ ของ Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าเบื่อเลยสักตอน เนื้อเรื่องเข้มข้นชวนติดตาม ปริศนาต่างๆ ซ่อนเอาไว้เป็นเหมือนอีสเตอร์เอ้กกระบุงใหญ่ที่เรื่องนี้ได้เทกระจาดมาให้แฟนๆ ได้
ประติดประต่อเรื่องราวกับหนังจักรวาลมาร์เวล ทั้ง 3 เฟสที่ผ่านมา เพราะไทม์ไลน์และเส้นเรื่องในหนังเรื่องนี้เชื่อมโยงกับหนังเรื่องอื่นๆ เอาไว้แทบจะทั้งหมด นี่จึงเป็นหนังมาร์เวลที่มาช่วยเติมเต็มเรื่องราวต่างๆ และยังทำหน้าที่แนะนำฮีโร่คนใหม่เอาไว้ได้ดีด้วย
เอาเป็นว่า Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings อาจจะยังไม่ใช่หนังมาร์เวลเรื่องที่ดีที่สุดแต่อย่างใด แต่ความบันเทิงและความเชื่อมโยงมุมต่างๆ ที่ปะปนมากับหนัง ได้สร้างความสนุกและความแข็งแกร่งให้จักรวาลในเชิงโครงสร้างต่อไปก็เป็นหนังอีกเรื่องที่สาวกมาร์เวลต้องห้ามพลาด มีสูตรสำเร็จต่างๆ มากมายที่นำมาใช้และยังคงเวิร์กกับผู้ชมอยู่ องค์ประกอบงานสร้างและงานดีไซน์ต่างๆ น่าพึงพอใจเป็นอย่างดี สรุปก็คือ…ไม่ผิดหวังเลย สปอยหนัง
จุดเด่น
เปิดตัวซูเปอร์ฮีโรเอเซียได้น่าสนใจและน่าจะทำให้ MCU มีความหลากหลายมากขึ้น
เหลียงเฉาเหว่ยกับอควาฟีนาคือ MVP ของหนังคนหนึ่งเติมเชื้อดรามาอีกคนปล่อยมุกฮาจนหนังออกมาบันเทิงมาก
งานสร้างและวิช่วล เอฟเฟกต์ตระการตามากเหมาะกับการดูในโรงภาพยนตร์
จุดสังเกต
แม้จะโชว์ทักษะหมัดมวยแต่เมื่อเทียบกับนักแสดงคนอื่น ซีมู หลิว ยังดูจืดไปหน่อย หนังเรื่องต่อไปอาจต้องบริหารเสน่ห์ให้มากกว่านี้
ฉากแอ็กชันยังถูกได้รับการจัดการหรือเอ็กเซ็กคิวต์ (Execute) ได้ไม่ดีเท่าที่ควรเลยทำให้หลายฉากดูจืดไปหน่อย