รีวิว ไดเวอร์เจนท์ คนแยกโลก
หนังNetflix หากๆเพื่อนคนไหนกำลังหาหนังแนวไซไฟ นิยายวิทยาศาสตร์ ผมก็คงต้องหยิบยกเรื่องนี้มาแนะนำครับ หนังที่บกเล่าเรื่องราว สังคม ชนชั้น ความเสื่อมทรามของสังคมที่้เน่าเฟะ โดยภาพยตร์ ตอนนี้มีออกมาทั้งหมดถึง 3 ภาค โดยภาคแรกชื่อว่า DIVERGENT ( 2014 ) คนแยกโลก ส่วนภาคที่สองชื่อว่า INSURGENT ( 2015 ) คนกบฏโลก และ ภาคที่สาม ALLEGIANT ( 2016 ) ปฏิวัติสองโลก
โดยหนังทำออกมาได้ดีตั้งแต่ภาคแรกทำให้น่าติดตาม ฉากหนัง และ การดำเนินเรื่องถือว่าใช้ได้ ดูแล้วก็เป็นหนังดีอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว การใช้กราฟิกเพื่อสร้างภาพในฉากต่าง ๆ ทำออกมาได้ดี การดำเนินเรื่องราวทำมาได้ดีเยี่ยม โดยในเนื้อเรื่องจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ก่อตั้งได้แยกคนจำนวนหนึ่งในเมืองชิคาโกแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี
ส ปอย หนัง เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างขึ้นจากวรรณกรรมเยาวชน โดย Divergent เป็นบทประพันธ์วรรณกรรมเยาวชนขายดีของ เวโรนิกา รอทห์ (Veronica Roth) ภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของสังคม และ ชนชั้น ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์
ผู้กำกับภาพยนตร์: Neil Burger
ชื่อภาพยนตร์: Divergent / คนแยกโลก
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Sci-Fi
นักแสดงนำ: Shailene Woodley, Theo James, Kate Winslet, Ashley Judd
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Evan Daugherty (screenplay), Vanessa Taylor (screenplay),
รีวิว ไดเวอร์เจนท์ คนแยกโลก
รีวิว ไดเวอร์เจนท์ คนแยกโลก ‘คนแยกโลก’ เป็นเหมือนโลกที่ดูไม่คุ้นเคย การจับคนเป็น 5 กลุ่มแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แม้จะเคยเป็นครอบครัวเดียวกันมา ถึงเวลาก็ต้องพรากจาก หนังพยายามจะเน้นไปที่ปม “กลุ่มข้นกว่าเลือด” อยู่มากพอสมควร มองออกไปก็ดูไม่ต่างจากอุดมการณ์ของคนต่างกลุ่มในยุคนี้ แม้แต่ครอบครัวก็อาจล่มสลายได้จากขั้วความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน
เมื่อถึงวัยที่สมควร ซึ่งก็เป็นช่วงหนุ่มสาว พวกเขาต้องเลือกกลุ่มของตัวเอง โดยเริ่มจากการทำแบบทดสอบกันก่อน เหมือนทางการจะได้เก็บบทสรุปเอาไว้ว่าใครได้กลุ่มไหน แต่ก็ยังให้โอกาสเด็กๆ ได้เลือกด้วยตัวเองอีกครั้งว่าจะอยู่กับกลุ่มเดิมที่ตนเติบโตขึ้นมาหรือจะไปอยู่กับกลุ่มใหม่ที่เชื่อว่าเข้ากับบุคลิกของตน ซึ่งกฏใหม่ก็คือเมื่อเลือกแล้วจะเปลี่ยนไม่ได้อีก
หลายคนคงสงสัย ทำบททดสอบแล้วจะให้เลือกเองอีกทำไม เอาเป็นว่า เขาให้โอกาสได้เลือกเจตจำนงของตนเองก็แล้วกัน
แน่นอนว่า ทริส (Shailene Woodley) นางเอกของเราทำแบบทดสอบแล้ว ไม่อาจจะจับไปอยู่กลุ่มไหนได้ เธอจึงเป็น ‘ไดเวอร์เจนต์’ ไปโดยปริยาย ซึ่งผู้คุมกฎนี้ เจนีน (Kate Winslet) มองว่าพวกนี้คือภัยต่อสังคม และ ต้องถูกกำจัด เธอจึงต้องปิดบังทุกคนเพื่อเอาตัวให้รอด และ ในที่สุด เธอก็เลือกกลุ่มที่แสนจะเซอร์ไพรส์ต่อทุก ๆ คน
การเลือกของเธอ ก็ทำให้ได้พบกับ โฟร์ (Theo James) หนุ่มสุดเก่งที่แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นักต่อเธอ แต่ภารกิจในกลุ่มใหม่ก็ดูแสนจะยากเย็นสำหรับผู้มาใหม่อย่างเธอไม่น้อย แต่ความเป็น ‘ไดเวอร์เจนต์’ ในตัวเธอต่างหากที่พาให้เธอก้าวต่อไป ส่วนจะสำเร็จหรือล้มเหลว อันนี้ คงต้องลองไปพิสูจน์กันดู
เนื้อหา/การดำเนินเรื่อง
Divergent สร้างจากวรรณกรรมเยาวชนขายดีของ เวโรนิก้า รอทห์ (Veronica Roth) ว่าด้วยเรื่องราวของ สังคมอันเสื่อมทรามชิคาโก้ถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วน ซึ่งได้แก่ Candor กลุ่มคนที่ยึดถือในความจริง Abnegation กลุ่มที่ยึดมั่นในการเสียสละตนเอง Dauntless กลุ่มคนที่ยึดมั่นในความหาญกล้า Amity กลุ่มคนที่ยึดถือในความสมานฉันท์ และ Erudite กลุ่มคนที่ยึดถือในความรู้ และ สติปัญญา โดยในทุก ๆ ปีจะมีวันที่กำหนดให้ เด็กอายุ 16 ปีทุกคนเลือกว่าตัวเองจะไปอยู่ในส่วนไหน
ซึ่งหลังจากเลือกแล้วก็จะต้องอยู่กับการตัดสินใจของตัวเองตลอดไป และ สำหรับ บีทริซ (Beatrice) สิ่งที่เธอต้องการ คือการอยู่ร่วมกับครอบครัว รวมทั้งเป็นตัวเองในสิ่งที่เธอฝันมาตลอด ซึ่งเธอจำเป็นต้องเลือกระหว่างสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทำให้เธอตัดสินใจทำในสิ่งที่คนไม่คาดคิด
แม้กระทั่งตัวเธอเองระหว่างการเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยการแข่งขันนี้ บีทริซ (Beatrice) ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น ทริส (Tris) และ ร่วมเดินทางไปกับเพื่อน ๆ ที่ต้องเดินทางตามการตัดสินใจของตัวเองไปด้วยเหมือนกัน ซึ่งมีการทดสอบสุดหินทั้งทางร่างกาย และ จิตใจผ่านโปรแกรมจำลองภาพ ที่บางอันก็ส่งผลกระทบมาถึงชีวิตจริงด้วย
ในเวลานี้เองที่ทริสต้องมองให้ออกว่าใครกันแน่คือเพื่อนแท้ รวมทั้งความสัมพันธ์กับชายหนุ่มที่ก่อตัวขึ้น จะไปในทางเดียวกับทางเดินชีวิตที่เธอตัดสินใจเอาไว้ได้หรือเปล่าอย่างไรก็ดี ทริสยังคงมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ ความลับที่เธอไม่อาจบอกใคร เพราะถูกเตือนเอาไว้ว่าการเปิดเผยมันอาจหมายถึงความตาย เมื่อเผชิญกับความกดดัน และ อุปสรรคมากมาย ทริสได้เรียนรู้ว่าความลับของเธอมีความสำคัญมากพอจะช่วยเหลือคนที่รักได้ แต่มันอาจมาพร้อมกับความพินาศของเธอด้วย ไดเวอร์เจนท์ คนแยกโลก มีกี่ภาค
ความประทับใจ
หนังค่อย ๆ นำพาเราไปรู้จักกับโลกของอนาคตที่มีการจัดแบ่งประเภทคนตามความสามารถแต่กำเนิด แล้วก็แนะนำให้เรารู้จักกับความพิเศษของพวกไดเวอร์เจนท์ ซึ่งก็ถือว่าเล่าได้เพลินดีครับ มีความตื่นเต้น และ ปมปริศนามาแทรกให้เราเกิดคำถามเป็นพัก ๆ ก็กระตุ้นให้เราอยากตามเรื่องต่อได้ไม่เลวครับ หนังออกมาโอเค ดูเพลิน ผมก็ถือว่าอยู่ในข่ายสนุกกับหนัง
แต่ก็ยอมรับครับว่าไม่ได้ถึงขั้นติดอะไรมาก คือมันดูแล้วโอเค ดูแล้วให้คะแนนในแดนบวกได้ และ ดูแล้วอยากดูภาคต่อไป แต่มันยังไม่เหมือนตอนผมดู City of Ember, The Hunger Games หรือ The Maze Runner จบ เพราะพวกนั้นดูจบแล้วรู้สึกอินไปกับโลกของหนังเรื่องนั้น ๆ เรียกว่าหนังจบอารมณ์ไม่จบ ประมาณนั้นน่ะนะครับ
แต่กับ Divergent อารมณ์นั้นยังไม่มาสักเท่าไร (อันนี้อาจเป็นกับผมคนเดียวก็ได้นะครับ)แม้จะบอกว่าดูแล้วไม่อินขนาดนั้น แต่ผมก็ยังแนะนำให้ดูอยู่ครับ เพราะถือว่าเป็นหนึ่งในหนังแอ็กชันไซไฟวัยรุ่นไม่กี่เรื่องที่ทำออกมาได้น่าพอใจ และ ในแง่ของรายได้แล้วก็จัดว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี (ลงทุน $85 ล้าน ได้คืนมา $288 ล้านจากทั่วโลก กำไรใช้ได้แล้วล่ะครับ) ไดเวอร์เจนท์ 3
รีวิว ไดเวอร์เจนท์ คนแยกโลก
รีวิว ไดเวอร์เจนท์ คนแยกโลก ตัวเทคนิคต่าง ๆ ไม่ได้ดูอลังการนัก ออกดูเป็นอนาคตที่ไม่ได้เจริญสูงไปมากกว่าปัจจุบันเท่าไหร่ แต่มีสไตล์ของเมืองที่ไม่ล้ำไปมากนัก รายละเอียดบางอย่าง ไม่ได้ถูกเล่าเอาไว้ อย่างเช่นรถไฟที่ไม่เคยเห็นหยุดวิ่ง และ วิ่งไปไหนไม่เคยได้รับรู้ที่หมาย
เมื่อสังคมจะมีกลุ่มคนที่ดูจะประนีประนอมหรือมีความเชื่อที่หลากมุมมองเข้ามาบ้าง ก็จะถูกกำจัดด้วยเหตุผลที่ว่าจะทำให้สังคมโดยรวมเดือดร้อน เพราะกลุ่มคนพวกนี้เป็นนักแหกกฏ โดยละลืมไปว่า แม้ตัวเองก็ยังแหกกฎอยู่หลายครั้ง แต่แม้พวกที่มีกลุ่มก็ยังอาจโหดเหี้ยมไร้คุณธรรมยิ่งกว่าพวกไร้กลุ่มมากนัก หนังอาจจะแตะประเด็นพวกนี้บ้างแต่ก็ดูไม่เอาจริงเอาจังนัก
หนังมีความยาวกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง (140 นาที) ค่อนข้างยาวทีเดียว โดยรวมแล้วดูได้เรื่อย ๆ ไม่ถึงกับเสียความรู้สึก ไม่ถึงกับน่าเบื่อ แต่ก็อาจจะไม่ประทับใจเท่าที่ควร การเล่าเรื่องดูไม่ค่อยต่อเนื่อง เหตุ และ ผลของเนื้อเรื่องยังนำเสนอได้ไม่เฉียบคม ในช่วงของฉากสำคัญ ๆ ยังดึงอารมณ์ได้ไม่สุด ฉากบู๊ก็ไม่เต็มที่นัก ฉากรักก็ไม่ค่อยซาบซึ้งกินใจ ฉากที่จะต้องลุ้นก็ยังไม่ตื้นเต้นสักเท่าไร
เรื่องนี้หรือจะบอกว่าภาคนี้ก็ได้ เป็นผลงานกำกับของ นีล เบอร์เกอร์ (Neil Burger) ภาคต่อไปหลังจากที่ ทรีส และ โฟร์ หนีรอดจากการจับกุม เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ และ นีลยังกำกับอยู่หรือไม่ แม้ภาคนี้จะไม่ประทับใจเท่าที่ควร แต่ก็จะติดตามในภาคต่อไปอีกแน่นอน ไดเวอร์เจนท์ 2 netflix
บทสรุป
ตัวหนังที่ยาว 2 ชั่วโมง 19 นาทีนี้ อาจเป็นเพราะนี่คือภาคแรก ที่ต้องเริ่มปูพื้นเรื่อง ทำให้การเล่าอาจดำเนินไปอย่างเชื่องช้ากว่าจะอุ่นเครื่องจนพอใจ คนใจร้อนก็อาจไม่ทันใจ แต่สำหรับคนใจเย็น หนังจะค่อย ๆ เพิ่มระดับความแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้ถึงกับชวนหลับแต่อย่างใด หลายคนว่าหนังไม่สนุก แต่หลายคนก็ว่ามันสนุกดี ผมคงเป็นพวกหลัง
หลังจากดูไปได้ครึ่งเรื่อง ในใจก็รู้สึกว่า จริง ๆ แล้วในเวอร์ชั่นหนังสือน่าจะมีรายละเอียดมากกว่านี้ แต่ด้วยความเป็นหนังจึงไม่อาจเล่าได้ครบหมด ครึ่งเรื่องแรกแม้จะดูเชื่องช้า ทว่ามีบางอย่างน่าสนใจ จนอยากจะหาหนังสือมาอ่านเพื่อเก็บข้อมูลที่ตกหล่นไป
ดูเอามันอย่างเดียวนี่ถือว่าโอเคเลย ยิ่งฉากที่นางเอกโหนสลิงนี่ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่เครื่องเล่นที่ดรีมเวิล์ดเลยทีเดียว เห็นแล้วอยากเล่นบ้างส่วนพล็อตหรือประเด็นต่าง ๆ โดยส่วนตัวยังถือว่าน้อยอยู่ สำหรับ จขกท ที่ไม่ใช่นักวิจารณ์ไม่ได้ดูแบบจะเอามาวิจารณ์อะไร ก็ถือว่าสนุกใช้ได้ ไดเวอร์เจนท์ 4