รีวิว batman v superman
หลังจากที่มีข่าวเรื่องหนังที่ซุปเปอร์ ฮีโร่ ผู้ผดุง หนังDiseny ความยุติธรรม ต้องมาสู้กันอย่าง batman v superman ผมเดาว่า หลาย ๆ คน ส ปอย หนัง ก็คงตั้งคำถาม ว่าเกิดจากอะไร หรือเพราะอะไร ? ปีนี้คงเป็นปีของหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่เสียจริง ๆ เพราะตั้งแต่ต้นปี ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี เราก็ได้เสพหนังซูเปอร์ฮีโร่มาแทบทุกเดือน ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์ และมีนาคมเดือนนี้ ก็ถึงทีของซูเปอร์ฮีโร่ดังจากฝั่ง DC Comics ที่มาพร้อมกันหลายตัว ที่เป็นที่รู้กันว่าพวกเขามาเพื่อปูทางไปสู่หนังรวมฮีโร่ที่สุดยิ่งใหญ่อลังการที่กำลังจะตามมาในอนาคตอันใกล้นี้ หนังเรื่องที่ผมกำลังพูดถึงและเพิ่งดูไปในวันนี้ ก็คือ ‘Batman v Superman: Dawn of Justice’ นั่นเอง หนังเล่าถึงการปะทะกันกันของแบทแมน (Ben Affleck) และซูเปอร์แมน(Henry Cavill) โดยต้นตอเกิดจากเหตุการณ์การต่อสู้ในMan of Steel ระหว่างซุปเปอร์แมนและนายพลซ็อต และส่งผลให้เมืองพังพินาศ ทำให้แบทแมนที่บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์เห็นพลังของซูเปอร์แมนที่เหมือนดาบสองคม และนั่นทำให้ทั้งสองคนเกิดการไม่ลงรอยกัน
หลังจาก Superman มีเรื่องราวของตัวเองใน ‘Man of Steel’ มาก่อนที่ทำให้เราได้รู้ว่าเขามาจากโลกอื่น มีพละกำลังเหนือมนุษย์ เติบโตจากการเลี้ยงดูของมนุษย์ ถูกปลูกฝังให้ทำเพื่อโลกและมวลมนุษย์ และมนุษยชาติก็ได้รู้จักกำเนิดของ Batman มาจากไตรภาคที่ลือลั่นจากฝีมือของ Christopher Nolan ว่าเขาเติบโตมาจากการเป็นลูกคนรวยที่พ่อแม่ของเขาถูกฆมาตกรรมต่อหน้าในวันนั้น
ผู้กำกับภาพยนตร์: Zack Snyder
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Fantasy, Sci-Fi
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Chris Terrio, David S. Goyer
ชื่อภาพยนตร์: Batman v Superman: Dawn of Justice / แบทแมน ปะทะ ซูเปอร์แมน แสงอรุณแห่งยุติธรรม
นักแสดงนำ: Ben Affleck, Henry Cavill, Amy Adams, Jesse Eisenberg, Diane Lane, Laurence Fishburne, Gal Gadot, Scoot McNairy
รีวิว batman v superman
รีวิว batman v superman ในฐานะที่เราไม่ใช่ทั้งติ่งการ์ตูน DC และ batman v superman รุ่งอรุณแห่งความยุติธรรม ติ่งผู้กำกับ Zack Snyder ซึ่งเข้าไปดู Batman v Superman: Dawn of Justice อย่างไม่คาดหวังอะไร เราว่าเราได้ความบันเทิงคุ้มค่าเต็มอิ่มเลยทีเดียว
โดยเฉพาะในส่วนของงานแอ็คชั่น ถึงแม้ซีนต่อสู้จะไม่ได้มีมากมาย (ใครอาจจะคาดหวังให้แบทแมนฟัดกับซูเปอร์แมนทั้งเรื่องอาจผิดหวังเบา ๆ ) แต่แต่ละซีนบู๊ที่ออกมา เขาก็จัดเต็ม ยิ่งใหญ่สะใจจริง ๆ
สิ้นสุดการรอคอยกันเสียทีสำหรับติ่งผู้กำกับคนดัง Zack Snyder (เจ้าของผลงาน 300, Watchmen, Sucker Punch, Man of Steel) และ แฟน ๆ การ์ตูน DC เพราะใน Batman v Superman: Dawn of Justice คุณจะตีตั๋วใบเดียวแต่ได้ดูฮีโร่ Batman กับ Superman พร้อมกันทั้งสองตัว (ทั้งนี้ไม่นับทีม Avengers ของ Marvel นั่นก็อีกเรื่อง)
ด้วยความที่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่หลายคนเฝ้ารอคอย บวกกับผลงานก่อนหน้าใน Man of Steel ที่ปูทางมาดีมาก และ แบทแมนในฉบับของผู้กำกับโนแลนที่แฟน ๆ ต่างยกให้เป็นผลงานขึ้นหิ้ง และ เปลี่ยนภาพซุปเปอร์ฮีโร่ DC ด้วยการนำเสนอในโทน มืดหม่น สมจริง
แม้นี่จะเป็นหนังที่กำกับ โดย Zack Snyder แต่ขณะดูก็ยังพบว่า ‘Batman v Superman: Dawn of Justice’ พยายามจะเล่าหลายเรื่องราวเกินไป จนคนดูเองจะจับจุดไม่ถูกว่า เขาจะมาทางไหน มันมีทั้งประเด็นของความชอบธรรมในการเป็นซูเปอร์ฮีโร่ ความหมั่นไส้กันเองระหว่างผู้มีพลังต่างเมือง การปูทางสอดแทรกตัวละครใหม่ ๆ
เรื่องย่อ
เรื่องราวหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น เป็นเวลา 18 เดือน ซึ่งซูเปอร์แมนถูกผู้คนบนโลก ตั้งคำถามว่า เขาคือใคร เขาเป็นคนดีหรือคนเลวหรือ เขาช่วยเหลือคนเพราะอะไร เราต้องควบคุมเขาไว้หรือไม่ เขาคือพระเจ้าใช่หรือไม่ ?
ส่วนอีกด้านหนึ่ง บรูซ เวย์น หรือ แบทแมนก็สั่งสมไฟแค้นไว้ในอก จากการกระทำของซูเปอร์แมน จนกระทั่งเกิดเหตุวุ่นวายจากแผนการร้ายของ เล็กซ์ ลูเธอร์ ซึ่งเขาได้ทำให้ ผู้คนเข้าใจ Superman ผิด
ซึ่งจากนั้นทำให้ batman vs Superman สู้กันในที่สุด ฐานะซูเปอร์แมน / คลาร์กเคนท์ ด้วยความกลัวว่าการกระทำของซุปเปอร์ฮีโร่ที่เหมือนเทพจะไม่มีการตรวจสอบศาลเตี้ยที่น่าเกรงขาม และ มีพลังของเมือง Gotham จะใช้เวลากับผู้ช่วยชีวิตที่ทันสมัย และ น่าเชื่อถือที่สุดของ Metropolis ในขณะที่โลกต่อสู้กับฮีโร่ที่ต้องการ และ เมื่อ แบทแมน และ ซูเปอร์แมนกำลังทำสงครามกันภัยคุกคามใหม่ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้มนุษยชาติตกอยู่ในอันตรายมากกว่าที่เคยเป็นมาก่อน
ความรู้สึกหลังรับชม
เวลากว่า 2 ชั่วโมงที่ผมต้องนั่งดูหนังเรื่องหนึ่ง Batman vs Superman Netflix ที่เหมือนมือสมัครเล่น แต่ก็มีจุดที่น่าติดตามอยู่บ้างนะครับ พวกปมอะไรต่าง ๆ ก็พยายามปูกันมาใหญ่โตดูเหมือนจะดีแต่ก็ตัดจบง่าย ๆ ทำเอาคนดูงงชนิดที่ว่า ปูมาตั้งนาน สรุปง่ายแค่นี้เองหรือ
ถ้าพูดถึงรายละเอียดของหนังก็เหมือนกับ อยากใส่อะไรก็ใส่ การลำดับเรื่องที่ไม่มีความเป็นแก่นสารทุกอย่างเลยดูสะดุดไปหมด
ว่ากันที่ฉากบู๊ที่เป็นความหวังสุดท้ายของหนังเรื่องนี้ ถ้าเทียบกับสองชั่วโมงเต็มของหนัง พ่อคุณสองคนก็มาฟาดกันในช่วง20 นาทีสุดท้าย คือเป็นการสู้ตัดฉากสลับไปมา คนดูก็ยิ่งงเข้าไปใหญ่ เลยรู้สึกว่าดีผมไม่ได้คาดหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้เลย ทำให้พอไปวัดไปวาได้ในฉากบู๊ช่วงท้าย อย่างน้อยก็ไม่เซ็งจนต้องออกจากโรงภาพยนตร์ไปกลางคัน
มาว่ากันที่บทบาทนักแสดง เบน อัฟเฟลคในบทแบทแมน แสดงอารมณ์ได้ดีมากครับ เพราะบทหม่นหมองของเขาทำให้เรารู้สึกว่า ฮีโร่ตัวนี่ต้องมีปมอะไรในอดีต หรือมากด้วยประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในสังคมที่เลวร้าย ถ้าเป็นแบทแมนภาคก่อนเก่านั้น ก็คือผู้พิทักษ์ประชาชน
แต่ภาคนี้ค่อนข้างหนักไปทางไล่ฆ่าให้หมด ดูห่าม และ ดิบเถื่อนกว่าเดิมครับ
ส่วนเนื้อหานั้นหนังไม่ค่อยมีอะไรให้คิดถึงหรือพูดถึงจดจำเมื่อหนังจบเลย การปูเรื่องเหมือนจะดีแต่หนังไม่มีเซอร์ไพรส์อะไรให้คนดูมากนัก ดูไปดูมาเริ่มคิดว่านี่เป็นหนังดราม่าหรือเปล่า เรื่องความตื่นเต้นที่คาดหวังจะได้จากหนังไม่ต้องถามครับ หนังเดาง่ายต่อให้ไม่เป็นFC เขาทั้งสอง ก็สามารถคาดเดาได้ง่าย ๆ เลย
เหมือนหนังต้องการขายความเป็นฮีโร่แฟรนไชส์ของทั้งคู่มากกว่าที่จะมาใส่ใจรายละเอียด
รีวิว batman v superman
รีวิว batman v superman จริง ๆ แล้วผมว่าแบทแมนแสร้งบอกใครเขาว่าซูเปอร์แมน Batman v Superman: Dawn of Justice rotten Tomatoes มีพลังมากเกินไป เกรงจะใช้พลังไปอย่างไม่ถูกต้อง สร้างความเสียหายที่ใหญ่หลวง
ทั้งที่จริงแล้ว ดูก็คงรู้ว่าเพราะแบทแมนผูกใจเจ็บที่ซูเปอร์แมนเป็นต้นเหตุให้ตึกของเขาพัง และ คนของเขาต้องบาดเจ็บล้มตาย ซูเปอร์แมนกลายเป็นพระเจ้าของใคร ๆ แทนที่แบทแมนซึ่งมาก่อน
แม้นี่จะเป็นหนังที่กำกับฯ โดย Zack Snyder และ เขียนบทโดย Chris Terrio และ David S. Goyer แต่ขณะดูก็ยังพบว่าหนังพยายามจะเล่าหลายเรื่องราวเกินไป จนคนดูเองจะจับจุดไม่ถูกว่า เขาจะมาทางไหน มันมีทั้งประเด็นของความชอบธรรมในการเป็นซูเปอร์ฮีโร่ ความหมั่นไส้กันเองระหว่างผู้มีพลังต่างเมือง การปูทางสอดแทรกตัวละครใหม่ ๆ ที่กำลังจะมีบทบาทในภาคถัด ๆ ไปของ ‘The Justice League’
เราอาจพบว่า เล็กซ์ ลูเธอร์ แห่ง LexCorp กลายเป็นแค่เศรษฐีหนุ่มเกรียนคนหนึ่งที่มีลีลากวน ๆ แบบโจ๊กเกอร์ แต่มีสไตล์การพูดแบบมาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก ออกมาทักทาย บรูซ เวย์น และ คลาร์ก เคนต์ อย่างเป็นกันเอง แล้วก็จัดฉากยุให้พวกเขาตีกัน แต่ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร หรือโกรธแค้นสิ่งไหนต่อพวกเขา
นั่นก็คือ เหตุผลหนึ่งที่การเหล่าหลายประเด็นทำให้บางอย่างไม่แจ่มชัด
บทสรุป
แม้ว่ามันจะไม่มีช่วงเวลามากมาย Batman vs Superman full movie ให้เล่าถึงที่มาที่ไปของเธอ ได้แต่ใส่น้ำจิ้มมานิด ๆ หน่อย ๆ ให้คนดูสงสัย แต่สำหรับคนที่ติดตามคอมมิคของดีซีมานาน ก็คงจะรู้ซึ้งดีกว่าใคร หนังไม่ได้มีแต่วันเดอร์วูแมน แต่ยังเปิดเผยตัวละครซูเปอร์ฮีโร่บางตัวที่จะมาในภายภาคหน้า
โดยรวม หนังไม่ได้ย่ำแย่มากนัก อาจจะเรียกได้ว่า ดีกว่า ‘Man of Steel’ ด้วยซ้ำ แถมยังหยิบบางส่วนในนั้นมาเล่าต่อ นัยว่าถ้าดูหนังของแบทแมน และ ซุเปอร์แมนมาก่อน ก็น่าจะช่วยให้ได้อรรถรสเต็ม ๆ กว่า หนังมีช่วงเวลาที่น่าอึดอัดในองก์แรก แต่เล่าแบบเอาเท่ และ เล่าหลายเรื่องจนไม่สามารถเอาอยู่สักประเด็น
แต่หนังก็กลับตัวได้เมื่อเปลี่ยนโหมดเข้าสู่ “แอ็คชั่น” อย่างเต็มกำลัง โดยส่วนตัวผมให้คะแนน 6.5/10