รีวิว bleeding steel
เชื่อว่าใครๆหลายๆคนคงจะรอคอยผู้ชายคนนี้อยู๋แน่นอนสำหรับ ซุปตาร์ระดับเอเชีย อย่าง Jackie Chan หนังNetflix หรือ เฉินหลง นั้นเอง เช่นเดียวกับในปีนี้ ที่ประเดิมด้วยภาพยนตร์บู๊แอ็คชั่น Bleeding Steel โคตรใหญ่ฟัดเหล็ก ฝีมือผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรง Leo Zhang แถมยังได้นักแสดงมาก ดูหนังฟรี ฝีมือมาร่วมฟัดอีกกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Tess Haubrich, Show Lo และ Callan Mulvey ดูหนังออนไลน์ สิ่งที่อยู่คู่มานานกับหนังจีนในไทยอย่างเสียงพากย์จากทีมพันธมิตรก็เป็นจุดดี และ จุดด้อยในคราวเดียวกันครับ หลาย ๆ มุกตลกที่ทีมงานแทรกเข้ามาเป็นระยะ ส ปอย หนัง ช่วยให้ตัวหนังไม่น่าเบื่อเกินไปนัก แต่ในขณะที่บางมุกก็ค่อนข้างจะสองแง่สองง่ามไปหน่อย แถมบางช่วงที่ตัวเองเลือกที่จะเดินเรื่องแบบเงียบ ๆ พี่แกก็ดันยิงมุกแบบไม่ดูจังหวะจะโคน จนอารมณ์ที่หนังจะสื่อในช่วงเวลานั้นมันดูขัดกันทันที มาดูกันว่าจะมันระห่ำสมคำร่ำลือหรือไม่
การกลับมาของเฉินหลง ดาราแอ็กชั่นอาวุโสที่อายุอานามป่านนี้ก็ปาเข้าไป 63 ปี ในช่วงหลัง ๆ ก็ไม่ค่อยให้ผู้เขียนเซอร์ไพรส์ได้เท่าไหร่แล้วครับ เพราะรู้สึกมานานแล้วว่าแกควรจะลองรับเล่นบทหนัก ๆ สุดสะเทือนใจในฮอลลีวู้ดดูบ้าง อย่างน้อยก็พอช่วยพัฒนาฝีไม้ลายมือด้านแอ็กติ้ง เพื่อทดแทนความคล่องแคล่วของร่างกายที่รอวันปลดระวางเต็มทีได้อยู่ ซึ่งหน้าหนัง Bleeding Steel ก็ทำให้เราต้องมาลุ้นกันอีกทีครับว่าหากเฉินหลงต้องไปสวมเกราะบู๊แบบไต่ระดับหลายหมื่นฟิตนี่จะออกมาเป็นเช่นไรกันแน่
รีวิว bleeding steel
รีวิว bleeding steel วิธีการเล่าเรื่องของ Bleeding Steel จัดได้ว่าเล่าเรื่องตามหนัง bleeding steel budget ในสมัยยุค 90 ที่แบนราบไร้มิติ ในทุกตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นตัวร้ายที่เหมือนหลุดมาจากหนังสือการ์ตูน บทพระเอกคุณพ่อผู้ผดุงคุณงามความดี และ ต้องการจะปกป้องลูกสาว แฟนหนุ่มของลูกสาวที่มากมุกตลก และ อารมณ์ขัน เหมือนตัวโจ๊กประจำเรื่อง ปัญหาก็คือผู้กำกับอย่างลีโอ จาง กลับเล่าสูตรสำเร็จทั้งหมดนี้ออกมาได้ “ไม่สนุก” และ “จืดชืด” กว่าที่หนังควรจะเป็น
กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ด้านลบเป็นอย่างมากกับภาพยนตร์หนัง ไซไฟ ที่พยายามสร้างเป็นฟอมยักษ์โดยใช้ยอดดาราแอคชั่นของฮ่องกงอย่างแจ็คกี้ ชาน หรือเฉินหลง ที่มีผลงานออกมาอย่างไม่ขาดสายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
หลังจากห่างหายวงการไปซักระยะ และ ล่าสุดมามีผลงานภาพยนตร์ล้ำยุคที่ผลิตร่วมกับชาวออสเตรเลีย และ จีนในเรื่อง Bleeding Steel ภาพยนตร์แนวไซไฟที่เราจะได้เห็นเฉินหลง แสดงเป็น Lin Dong เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสหประชาชาติ ที่ได้รับหน้าที่เป็นฝ่ายคุ้มครองพยาน และ ถูกส่งไปคุ้มกัน Dr. James นักวิทยศาสตร์ผู้คิดค้นวิทยาการ bioroid เทคโนโลยีที่จะสร้างสุดยอดทหารขึ้นมา
หลังจากที่เกิดความผิดพลาดกับตัวทดลองของเขา ทำให้มันกลายมาเป็นดั่งหนังอสุรกาย Frankenstein ที่ตัวทดลองชื่อ Andre (รับบทโดย Callan Mulvey) เกิดกลายพันธ์จากรังสี ในขณะที่ Lin เจ้าหน้าที่สาวที่อยู่ระหว่างทางดูใจลูกสาวเธอ Xixi ที่กำลังจะตายจากภาวะหัวใจล้มเหลวในขณะ Andre โผล่ออกมาประกอบร่างอย่างกับ Darth Vader นำกองทัพหุนยนต์ bioroid ที่เหมือนกับ Stormtroopers ในภาพยนตร์ Star war เพียงแต่มันเป็นชุดสีดำ พวกมันออกมาอาราวาดอยู่ข้างนอกแล้วก็หายไปนานนับ 13 ปี
เรื่องย่อ/เนื้อหา
หนังว่าด้วยเรื่องราวของ Bleeding Steel (2018) ลินดง (เฉิน หลง) เจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษของ UNSS มีภารกิจสำคัญในการปกป้องพยานคนสำคัญจนทำให้เขาต้องเลือกหน้าที่การงาน ก่อนลูกสาวที่นอนป่วยอาการสาหัสไว้ในโรงพยาบาล ภารกิจนครั้งน้นของลินดง เขาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเนื่องจาก วายร้ายอย่างไซบอร์ก อังเดร ต้องการของบางอย่างจากตัวพยาน หลายปีต่อมา ลินดงย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลียเพื่อทำการดูแลอารักกขาเด็กสาวที่ชื่อว่า แนนซี่ (นาน่า อู๋หยาง) ซึ่งลินดง ไม่เคยเปิดเผยความจริงว่าเขาเป็นพ่อแท้ ๆ ของเธอ เพราะกลัวว่าแนนซี่จะได้รับอันตราย
เมื่อนวนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อ Bleeding Steel ได้รับตีพิมพ์สู่ท้องตลาด แถมได้รับความนิยมไปทั่วโลก ไซบอร์ก อังเดร ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง ส่งผลให้แนนซี่ไม่ปลอดภัย เพราะเธอมี “ของบางอย่าง” ที่เขาต้องการ ส่งผลให้ลินดงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องลูกสาวของเขาเองให้พ้นจากอันตรายในครั้งนี้
ความประทับใจ
ต้องบอกตามตรงเลยว่าเมื่อได้เห็นตัวอย่างหนังครั้งแรกก็อดทึ่งไม่ได้ เพราะไม่คิดว่าตำนานสู้ฟัดของ เฉินหลง จะมาได้ไกลถึงขนาดใส่เกราะเหล็กต่อสู้กัน อย่างกับหนังฮีโร่ของฝั่งดีซี และ มาร์เวลก็มิปาน นอกจากพล็อตเรื่องที่ไม่ได้มีความแตกต่างจากหนังบู๊ฮีโร่เรื่องอื่น ๆ แล้ว การจะเอาเหตุผลหรือหลักความเป็นจริงมาใช้กับหนังเรื่องนี้ก็เป็นไปได้ยากเหมือนกัน อย่างเช่นตัวละครที่ใส่ชุดเกราะเดินเพ่นพ่านอยู่ทั่วเมืองนั้นก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนคนอื่น ๆ นั้นแตกตื่นตกใจแม้แต่น้อย
แต่แน่นอนว่าหากจั่วหัวเป็นหนังของ เฉินหลง ย่อมต้องขายฉากบู๊แอ็คชั่น ฟัดกันระห่ำ ซึ่งจุด ๆ นี้ก็ทำออกมาได้ดี ระเบิดภูเขาเผากระท่อมมาเต็มสะใจ เล่นใหญ่มาก อีกเรื่องที่ต้องชื่นชมก็คือเทคโนโลยี วิชวลเอฟเฟกต์ ซีจีต่าง ๆ ทันสมัย และล้ำสุด ๆ คุณภาพเทียบเท่าหนังฝั่งฮอลลีวูดเลยทีเดียว
ด้วยความที่เป็นหนังที่มี เฉินหลง เป็นตัวเอก แน่นอนว่าบทของเขาต้องใหญ่สุด เป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก แต่ก็ทำออกมาดูไม่สมจริงเท่าที่ควร และ ขาดพลังบางอย่าง แต่ก็ยังมีการเกลี่ยบทให้ตัวละครอื่นพอสมควร ซึ่งตัวละครบางตัวไม่ต้องมีก็ได้ อีกอย่างแอบขัดใจเสียงพากย์เล็กน้อย เพราะบางทีบทพูดแต่อย่างก็สอดแทรกมุกตลกที่ไม่ตลก โดยส่วนตัวคิดว่าไม่ต้องใส่มุกตลกลงไปในหนังก็ยังได้ ดีไม่ดีอาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ
รีวิว bleeding steel
รีวิว bleeding steel หลายปีต่อมาภายหลังนิยายไซไฟเรื่องลับเรื่องหนึ่งได้รับการตีพิมพ์ bleeding steel 1 ออกเผยแพร่ในวงกว้าง ส่งผลให้กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังแผนการลับนี้ได้กลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ภารกิจครั้งสำคัญนี้หน่วยรบพิเศษจะสามารถช่วยเหลือหญิงสาวคนนี้ได้จนกระทั่งนักเขียนชาวออสเตรเลีย Rick Rodgers รับบทโดย (Damien Garvey) ได้ตีพิมพ์หนังสือมนุษย์กลายพันธ์ที่มีพลังกายมหาศาลวางจำหน่าย
จนดลใจให้สองสาวย่องเข้าไปขโมยข้อมูลในห้องของเขา ได้แก่ Tess Haubrich และ ดาราไต้หวันอีกคนที่แต่งตัวยังกับ Drag ในเวอร์ชั่นของ Uma Thurman แต่กลับมาเจอเข้ากับ Lin ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างต้องสู้กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ ดูเหมือนกลายเป็นฉากต่อสู้สไตล์ภาพยนตร์อมยักษ์อย่าง Mission Impossible ที่จะมีฉากต่อสู้สุดโลดโพดไปมา
ทั้งที่ความพยายามของ Bleeding Steel นั้นเหมือนจะเล่าเรื่องแบบหนังซูเปอร์ฮีโร่ ที่มีตัวเอกเป็นคนธรรมดา แต่ทุกอย่างในหนังก็ดูถูกใส่เข้ามาอย่างผิดที่ผิดทางไปหมด (หลายครั้งมันผิดจนกลายเป็นความตลกแบบไม่ได้ตั้งใจ) แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ หนังค่อนข้างแห้งแล้งฉากแอ็คชั่น แถมฉากต่อสู้ที่มี การตัดต่อรวดเร็วฉับไว จนหลายครั้งเราก็ดูไม่ทันเหมือนกันว่าสรุปแล้วใครกำลังต่อสู้กับใคร โดนฮุคหมัดเข้าที่ตรงไหน
ด้วยส่วนผสมของความไม่ลงตัวของทุกอนูในภาพยนตร์ ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ยอดแย่เป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเฉินหลง เข้ามามีส่วนร่วมในหายนะนี้ได้ยังไง ลำพังตัวเฉินหลงนั้นไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับบท และ การถ่ายทำที่ดูเหมือนจะไม่ดีไปเสียหมด พาลให้ทุกอย่างดูแย่ไปหมด ตัวละครแต่ละตัวแข็งทื่อยังกับหลุดมาจากในหนังสือการ์ตูน
ด้วยกระแสวิพากษ์วิจารณ์เชิงลบขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงยอดขาย ก็น่าจะพอรู้กันอยู่ว่ามันจะรุ่ง หรือดิ่งลงเหวกันแน่ ก็น่าดีใจอยู่ที่เฉียเฉินหลงได้กลับมาสู่จอภาพยนตร์ แต่ถ้าให้แนะนำดูภาพยนตร์เรื่องนี้ละก็ ผมจะบอกต่อรุ่นลูก และ รุ่นหลานว่าให้ข้ามหนังเรื่องนี้ไปเลยดีกว่า อย่าเสียเวลาไปดู ผมพูดจริง ๆ นะ
บทสรุป
พล็อตเรื่องมีการปูเรื่องแบบเล่นใหญ่พอตัวด้วยการเกริ่นว่าเทคโนโลยี bleeding steel netflix ทางการแพทย์รุดหน้าไปไกลถึงขนาดสามารถสร้างหัวใจเทียมที่เป็นเครื่องจักร สามารถใส่เข้าไปในร่างมนุษย์เพื่อทำงานแทนหัวใจจริง ๆ ที่เกิดภาวะผิดปกติได้ แถมผลข้างเคียงของมันยังทำให้ผู้ที่ได้รับการเปลี่ยนหัวใจเทียมสามารถฟื้นฟูบาดแผลตามร่างกายได้ไวเหมือนมีฮีลลิ่งแฟคเตอร์แบบเกมแอ็กชั่นทั่วไป รวมถึงยานพาหนะของเหล่าร้ายก็เป็นยานรบขนาดยักษ์ที่ดูรูปทรงแล้วน่าจะใช้บินไปดาวอังคารได้ด้วยซ้ำ
แต่ด้วยความที่ Bleeding Steel มีโปรดักชั่นระดับที่ใกล้เคียงกับหนังเกรด B มากเกินไป เลยทำให้องค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นแอ็กติ้งของนักแสดงหลายคน รวมถึงคิวบู๊ และ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครทั้งฝ่ายดี และ ร้ายล้วนดูแล้วไม่น่าเชื่อถือได้เลย
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมันคือหนัง “สไตล์เฉินหลง” ที่บทบู๊มักจะชอบสอดแทรกความตลกเข้าไป ทว่าพอมาพิจารณาร่วมกับโครงเรื่อง และ ธีมของหนังที่มันควรจะออกแนวจริงจังมากกว่า จึงรู้สึกอยู่บ่อยครั้งระหว่างที่ชมภาพยนตร์ว่า ช็อตนี้มันควรจะซีเรียสบ้างนะ อะไรทำนองนี้