รีวิว fast & furious hobbs and shaw
สวัสดีครับ ผมเชื่อว่าเราทุก ๆ คนคงจะเคย หนังNetflix ดูกันมาหมดแล้ว กับจักรวาล fast แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยดูคงจะได้เห็น fast ผ่าน ๆ สายมาทางจอทีวี มาอย่างยาวนาน ส ปอย หนัง เพราะหนัง fast เขามี หลายภาคมาก ๆ เราคงไม่อาจปฏิเสธความสำเร็จ ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี ในระดับโลกของแฟรนชายส์รถซิ่งอย่าง Fast & Furious ได้เลย ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์ สิ่งที่เป็นปัจจัยให้หนังเรื่องนี้เข้าไปอยู่ในดวงใจของแฟนหนัง คือการทำให้คนดูผูกพันไปกับเหล่าตัวละคร อีกทั้งฉากแอ็คชั่นอันแสนตื่นตาตื่นใจ และ แปลกใหม่ ยิ่งเกื้อกูลให้ตัวหนังได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในทุกภาคที่ออกฉาย แต่พอได้ดูแล้วผิดคาด ถึงแม้จะเป็นภาคที่แยกออกมาแต่ก็ยังคงกลิ่นอายของความเป็น Fast & Furious ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของตัวละคร ฉากต่อสู้ โลเคชั่น เพลงประกอบ และ ยานพาหนะ
ออกตัวก่อนว่าผู้เขียนเป็นแฟนคลับของภาพยนตร์แฟรนไชส์ Fast & Furious มายาวนานมากจนเรียกว่าเติบโตมากับภาพยนตร์ชุดนี้เลยก็ว่าได้ ในตอนแรกที่ได้ข่าวว่าภาพยนตร์ชุดนี้จะทำภาคแยกของตัวละคร Luke Hobbs และ Deckard Shaw เพื่อขยายจักรวาล Fast & Furious ก็มีความรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้างเพราะตัวละครทั้ง 2 ได้ถูกปูมาค่อนข้างนานในเรื่องราวของ Fast & Furious แต่ก็ไม่ได้คาดหวังสักเท่าไหร่ แอบกลัวว่าจะออกมาแป้กด้วยซ้ำ
รีวิว fast & furious hobbs and shaw
รีวิว fast & furious hobbs and shaw ภาคใหม่ที่มีจุดกำเนิด Hobbs and Shaw 2 จากความแตกแยกของทีมงาน Fast And Furious ดั้งเดิมไม่ลงรอยกัน Dwayne Johnson หรือที่เรารู้จักกันในนาม The Rock จึงแยกตัวออกมาทำเอง โดยสูดิโอเห็นชอบด้วย และ ก็ได้เป็นผลงานร่วมกับ เจสัน สเตแธม ในบท Shaw ที่ล้างเนื้อล้างตัวใหม่จากบทผู้ร้ายในภาคปกติ ให้มากลายเป็นคู่หูกับ The Rock ซึ่งคงกลายเป็นจักรวาลคู่ขนานไปแน่ ๆ
นี่เป็นหนังที่ขอแค่ดึงตัวละครจาก Fast ภาคหลักมาต่อยอดในแนวทางของตัวเอง ซึ่งภาคหลักหลัง ๆ ก็เรียกว่าเริ่มหมดมุกหรือออกทะเลไปเรื่อย ๆ แล้วก็ว่าได้ แต่ในเมื่อรายได้ยังคงดีงามอยู่ สตูดิโอก็อนุมัติให้ไปต่อเรื่อย ๆ แม้ว่าจะกำหนดจบที่ภาค 10 ตามข่าวก่อนหน้านี้ก็ตาม
แต่ Fast And Furious Hobbs and Shaw ก็เหมือนตัวตายตัวแทนภาคหลัก และ เป็นงานต่อยอดความโอเว่อร์ของภาคหลักให้หลุดจากคอนเซ็ปต์รถแข่ง โจรนักซิ่ง ไปเป็นอะไรที่เรียกว่าใกล้เคียงกับพวกแนว Super Hero จริงจังใกล้ ๆ จะเป็นแบบ Avengers เลยก็ว่าได้
เรื่องย่อ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังภาคนี้ ว่าด้วยการพูดถึงการก่อการร้ายของบริกซ์ตัน ลอร์ จาก “อีธีออน” ซึ่งเป็นองค์กรที่ต้องการลดจำนวนประชากรโลกด้วยอาวุธทางชีวภาพ เพียงเพราะต้องการสร้างความสมดุล หลังจากฉากเปิดเรื่องที่บริกซ์ตัน ไม่สามารถนำไวรัสชีวภาพกลับไปให้องค์กรได้ เพราะ และ แฮ็ตตี้ เจ้าหน้าที่ MI:6 ได้ตัดสินใจฉีดไวรัสดังกล่าวเข้าไปในตัวเอง เพราะดีกว่าให้อาวุธร้ายไปตกอยู่ในมือของบริกซ์ตัน
ความรู้สึกหลังรับชม
อีกเรื่องที่ชอบคือความกล้า fast and furious hobbs and shaw ภาคไหน ของทีมงานที่ยกระดับความเว่อร์เหนือมนุษย์ให้มากขึ้นไปกว่า Fast & Furious ภาคก่อน ๆ เหมือนทำมาเพื่อประชดพวกที่บอกว่าภาพยนตร์ชุดนี้จะเว่อร์ไปถึงไหน หลุดธีมหนังแข่งรถไปไกลแล้ว… ทีมงานเลยจัดให้หนักกว่าเดิม เพราะตัวร้ายในภาคแยกนี้ไม่เหมือนกับตัวร้ายที่ผ่าน ๆ มาในแฟรนไชส์ ไม่ใช่มาเฟีย ยากูซ่า เจ้าพ่อค้ายาเสพติด ผู้ก่อการร้าย หรือเจ้าแม่ไอทีที่คิดจะยึดครองโลก
แต่เป็นมนุษย์ดัดแปลงผสมไซบอร์กที่มีความแข็งแรงยิ่งกว่ากัปตันอเมริกา มาพร้อมกับอาวุธ และ ยานพาหนะที่ล้ำเกินยุคสมัย แถมเรื่องนี้ยังเว่อร์เกินขีดจำกัดของมนุษย์ และ ไม่สนกฎฟิสิกส์ใด ๆ ทั้งสิ้น (จะว่าไปแล้วผู้เขียนนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง xXx: Return of Xander Cage ขึ้นมาทันที คือทำเนื้อเรื่องตามสูตรสำเร็จ และ เน้นขายความเว่อร์ไว้ก่อนโดยไม่ต้องมาแอ๊บหรือหาเหตุผลมารองรับให้ดูสมจริง)
จุดที่ชอบนอกเหนือจากที่ว่ามาด้านบนคือ มีตัวละครลับที่โผล่มาสร้างความเซอร์ไพรส์อยู่เป็นระยะ, มุกตลกต่าง ๆ, การปะทะคารมระหว่าง 2 ตัวละครหลัก และ Easter Egg ที่ใส่มา มีการ reference ถึงภาพยนตร์เกี่ยวกับรถที่ Jason Statham เคยเล่นเอาไว้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วด้วย
พูดถึงสิ่งที่ชอบในภาพยนตร์เรื่องนี้ไปแล้วก็ขอพูดถึงจุดที่ไม่ชอบบ้าง จุดแรกที่ไม่ชอบเลยก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องแบบมองข้ามตัวละครที่เป็นหนึ่งในครอบครัว Shaw ที่เคยโผล่มาในภาพยนตร์ชุด Fast & Furious 3 ภาคหลังอย่าง Owen Shaw (Luke Evans) ไปเลย ทั้งเรื่องพูดถึง Owen Shaw แค่ประโยคเดียวเท่านั้น
ในเรื่องมีการเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีตของ Deckard Shaw กับ Hattie Shaw (Vanessa Kirby) แต่กลับมองข้ามตัวละครของ Owen Shaw ไปทำให้รู้สึกขัดกับธีมครอบครัวที่หยิบมาเล่นในเรื่องนี้อยู่บ้าง ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเพราะกลัวคนที่ไม่เคยดูภาคอื่นเลยมาดูแล้วจะงง แต่อย่างน้อยก็น่าจะพูดถึงบ้างว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์ในเรื่องตัวละคร Owen Shaw ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนสักนิดนึงก็ยังดี
รีวิว fast & furious hobbs and shaw
รีวิวfast & furious hobbs and shaw fast & furious hobbs and shaw คือการแตกเส้น Fast & Furious Hobbs & Shaw 4K เรื่องย่อยของตัวละครฮ็อบส์ (ดเวย์น จอห์นสัน) และ ชอว์ (เจสัน สเตแธม) สองคู่ปรับที่เกลียดขี้หน้ากันเข้าไส้ในแฟรนชายส์ Fast การปะทะคารมกันอย่างดุเดือด รวมถึงการออกหมัดต่อยตีกันให้ยับไปข้าง คือความสะใจของแฟนหนังที่ได้เห็น “แอ็คชั่นสตาร์” ทั้งสองคนดวลกันอย่างไม่ประนีประนอม
ถึงแม้ว่าตัวละครหลักของเรื่องจะเป็นตำรวจกับอดีตสายลับ และ มีเนื้อเรื่องเกี่ยวโยงกับองค์กรที่กำลังจะสร้างภัยคุกคามกับโลกใบนี้ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เน้นความเป็นสายลับมากมายอะไรขนาดนั้น เนื้อเรื่องไม่ได้มีปมสลับซับซ้อนให้ชวนคิดตามหรือพลิกแพลงหลายตลบเหมือนกับหนังสายลับเรื่องอื่น ๆ อันที่จริง Furious 6 ยังมีความเป็นหนังสายลับมากกว่าภาคนี้เสียอีก
เนื้อเรื่องของ Hobbs & Shaw นั้นจัดว่าเป็นหนังสูตรสำเร็จก็ไม่ผิดนัก การเดินเรื่องค่อนข้างเป็นเส้นตรง และ ไม่มีอะไรหักมุมเท่าไหร่ แต่ต้องชมทีมเขียนบทของภาพยนตร์ชุด Fast & Furious อย่างหนึ่งตรงที่สามารถเล่าเรื่องย้อนไปขยายความภูมิหลังของตัวละครที่เคยพูดถึงไว้นิดหน่อยในภาคก่อน ๆ
โดยที่ไม่ทำให้เส้นเรื่องผิดเพี้ยน นี่คือข้อดีของการเขียนภูมิหลังตัวละครให้หลวม ๆ ไว้ก่อน แต่ถ้าใครที่ติดตามภาพยนตร์ชุดนี้ครบทุกเรื่องจะพบความไม่ต่อเนื่องของเรื่องราวระหว่าง The Fate of the Furious กับ Hobbs & Shaw อยู่นิดหน่อย ซึ่งอาจจะเว้นไว้เพื่อนำไปขยายต่อในภาคอื่นก็เป็นได้
บทสรุป
อย่างไรก็ตามคีย์เวิร์ดเรื่อง “ครอบครัว” ที่เป็นแกน ฮอบแอนชอว์ pantip โครงสร้างของแฟรนชายส์ Fast & Furious มาโดยตลอด ยังถูกนำมาใช้ และ เน้นย้ำอยู่ตลอดทั้งเรื่อง แต่เรากลับมองว่าจุดประสงค์ในการมีอยู่ของสายสัมพันธ์ตัวละครเหล่านี้ มีเอาไว้เพื่อเชื่อมโยงเรื่องราวเพื่อนำไปสู่ “ภาคต่อ” เสียมากกว่าจะให้คนดูได้เรียนรู้อุดมการณ์ของตัวละครเหล่านี้อย่างแท้จริง
สรุปคือดูแบบเอามันได้ เนื้อเรื่องโอเคแต่ไม่ค่อยมีจุดพีคเท่าไหร่ ฉากบู้มันสะใจ แต่โยนความสมเหตุสมผล และ กฎฟิสิกส์ทิ้งไปซะ ถึงไม่เคยดูเรื่องอื่น ๆ ในแฟรนไชส์ Fast & Furious มาก่อนก็ไม่งง คิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะทำเงินดีพอสมควร และ คงได้เห็นภาคแยกของคู่นี้อีก
เพราะตอนจบได้ปูทางไว้สำหรับภาคต่อแล้วเรียบร้อย ฉากเพิ่มเติมในช่วง End Credit เยอะมาก มาเป็นช่วง ๆ มีปูทางไปภาคต่อบ้าง และ เอาฮาบ้างปน ๆ กันไป
สำหรับคนที่ไม่เคยดูภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ในแฟรนไชส์นี้มาก่อน และ อยากรู้ความเป็นมาของเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าควรหา Furious 6, Furious 7 กับ The Fate of the Furious มาดูจะเข้าใจว่าทำไม Hobbs กับ Shaw ถึงต้องหาเรื่องกัดกันตลอดเวลาขนาดนี้
ถ้าว่าง ๆ ดู Fast Five ด้วยก็ได้เพราะเป็นเรื่องแรกที่แนะนำตัวละคร Luke Hobbs แถมฉากปล้นในเรื่องนี้คือ The best มาก ยกให้เป็นฉากปล้นที่ดีที่สุดในแฟรนไชส์ Fast & Furious เลย