รีวิว Maleficent: Mistress of Evil
รีวิวหนังใหม่ สวัสดีครับ หากพูดถึงหนึ่งในหนังที่มีกราฟิก CG สุดสวยอลังการ ก็คงไม่พูดถึงเรื่องนี้กันไม่ได้ Maleficent ภาคแรกในปี 2014 และยังสานตำนานอีกในปี 2019 กับหนังภาคต่อสุดยิ่งใหญ่ เป็นหนังสร้างปรากฏการณ์ของดิสนีย์ ที่หยิบนิทานคลาสสิก Sleeping Beauty (เจ้าหญิงนิทรา) มาตีความใหม่ แล้วประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด กวาดรายได้ไปแบบถล่มทลายถึง 758 ล้าน จากทุนสร้าง 180 ล้าน แล้วแองเจลินา โจลี่ ก็ได้บทบาทที่เป็นไอคอนจดจำของฮอลลีวู้ดไปอีกยาวนาน แต่กระนั้นดิสนีย์ก็ยังเว้นช่วงไปถึง 5 ปี กว่าจะได้ฤกษ์คลอดภาค 2 ออกมาในปีนี้ เป็นปีที่หนังจากค่ายดิสนีย์อัดแน่นกันถึง 10 เรื่อง
เนื้อหาในภาคนี้ก็เขียนให้เรื่องราวห่างกับภาคแรกไว้ 5 ปีเช่นกัน ออโรร่าเติบโตขึ้นเป็นสาววัย 21 ปี เธอก้าวจากเด็กสาวมาเป็นราชินีผู้ปกครองดินแดนมัวร์เต็มตัว หลังจากหมั้นหมายกับเจ้าชายฟิลิปส์ในภาคแรก พอมาถึงภาคนี้เจ้าชายฟิลลิปส์ก็ขอเจ้าหญิงออโรร่าแต่งงานอย่างเป็นทางการ ดูหนังออนไลน์
รีวิว Maleficent: Mistress of Evil
รีวิวหนังใหม่ ตามเนื้อหาที่เราเห็นในตัวอย่างมาเลฟิเซนต์ไม่เห็นชอบด้วย แต่ด้วยความรักที่เธอมีต่อออโรร่าจึงยินยอมออกงานพิธีเป็นครั้งแรก ด้วยการทำหน้าที่พระมารดาของออโรร่าไปเป็นแขกรับเชิญของพระราชา และ พระราชินีแห่งเมืองอัลสตีด ระหว่างการพูดคุยบนโต๊ะอาหาร ก็เกิดเหตุให้ขัดข้องใจทำให้มาเลฟิเซนต์บันดาลโทสะ แปลงร่างเข้าสู่โหมดร้าย ทำลายข้าวของ บริวาร แล้วบินออกไป
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวแค่ในช่วง 15 นาทีแรกของหนัง ที่นำมาเสนอในตัวอย่างหนัง ทำให้ดูเหมือนว่ามาเลฟิเซนต์จากนางพญาปิศาจที่เริ่มมีจิตใจอ่อนโยนมากขึ้นแล้วในภาคแรก จะกลับมาร้ายอีกครั้งแล้วทำศึกกับอัลสตีด และ ลูกสาวตัวเอง แต่หนังก็ยังวางบทบาทของราชินีอิงกริต บทบาทของ มิเชล ไฟเฟอร์ ให้ดูเคลือบแคลงเหมือนมีแผนการร้ายซ่อนอยู่ ซึ่งในหนังจริงก็ไม่ได้เก็บงำข้อสงสัยนี้ไว้เป็นไม้เด็ดแต่อย่างไร แต่เล่ากันแบบง่าย ๆ ตรง ๆ เผยตัวตนคนร้ายตั้งแต่ต้นเรื่องกันไปเลย
ลินดา วูลเวอร์ตัน มือเขียนบทจากภาคแรกกลับมาสานต่อหน้าที่เดิม แถมด้วยคู่หูนักเขียนบท โนอาห์ ฮาร์ปสเตอร์ และ มิคา ฟิตเซอร์แมน-บลู มาร่วมเขียนด้วย แนวทางของภาค 2 พาบรรยากาศหนังออกห่างไกลจากภาคแรกมาก ประเด็นแรกที่หนังเลือกเน้นในเรื่องสงครามระหว่างเมืองอัลสตีด และ “ดาร์กเฟย์” ชื่อเรียกเผ่าพันธุ์ของเทพมีปีก พี่น้องของมาเลฟิเซนต์ ที่สืบเชื้อสายมาจากนกฟินิกซ์
ก็ต้องยอมรับว่าเส้นเรื่องในภาคนี้เดินหน้าไปแบบเข้มข้นดุเดือด ไม่ต้องอิงเทพนิยาย “เจ้าหญิงนิทรา” แบบภาคแรกอีกต่อไป แล้วไม่ต้องเสียเวลาแนะนำบรรดาตัวละครอีกแล้วด้วย แต่เมื่อว่าด้วย “สงคราม” ในหนังดิสนีย์ ก็ย่อมเต็มไปด้วยฉากต่อสู้ และ สังหาร ที่นับว่าสุ่มเสี่ยงพอควรกับการหยิบประเด็นนี้มาเล่นในหนังที่พะยี่ห้อ “ดิสนีย์” ซึ่งหนังก็พยายามเลี่ยงภาพที่โหดร้าย
เมื่อเหล่าดาร์กเฟย์ถูกกระสุนเหล็กยิง ก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ส่วนบรรดาสัตว์เทพในป่ามัวร์ ก็โดนจับมาทำร้ายเช่นกัน หลาย ๆ ตัวพอตายก็กลายคืนสภาพกลาายเป็นดอกไม้ใบหญ้า ด้วยภาพน่ะไม่มีความรุนแรง แต่นี่คือหนังดิสนีย์ที่ได้เรต G แปลว่าไม่จำกัดอายุ ลูกเล็กเด็กแดงอาจจะรู้สึกสะเทือนใจกับภาพ ภูติน้อยดิ้นกระแด่ว ๆ โดนสังหารต่อหน้าต่อตา
อีกประเด็นหนึ่งที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหนังดูผิดแผกจากหนังเทพนิยายดิสนีย์ที่คุ้นเคย ด้วยการเลือกเล่าถึงเผ่าพันธุ์ “ดาร์กเฟย์” ซึ่งหนังเลือกให้ความสำคัญกับเรื่องราวส่วนนี้อย่างมาก ถึงกับพาทัวร์อาณาจักรดาร์กเฟย์กันอย่างยาวนาน และ ละเอียด ดูหนัง
เล่าถึงประวัติที่มาความเป็นอยู่ พาชมสภาพความเป็นอยู่ การเลือกที่จะลงลึกถึงตัวตน การแบ่งแยกดินแดน การทำสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ เรามักจะคุ้นกับเรื่องราวเหล่านี้ในหนัง Lord of The Rings หรือ Game of Thrones มากกว่า ไม่คาดคิดที่จะได้เห็นหนังดิสนีย์มาเล่าหนังในบรรยากาศแบบนี้ และ เช่นเคย มีตัวละครที่ตายจากการทำสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์
กลายเป็นว่าจุดเด่นสำหรับภาคนี้ไม่ใช่เนื้อหา เรื่องราวของหนังที่ดูจะพาออกทะเลไปไกล แต่จุดที่น่าชื่นชมคืองานออกแบบฉาก และ ซีจีที่น่าตื่นตาตื่นใจ แทบทุก ๆ ฉากดูสวยงามอลังการนับตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องเลย ถ้ามีโอกาสเลือกดูบนจอ IMAX 3 มิติได้ขอแนะนำอย่างแรง แค่ฉากเปิดเรื่อง 5 นาที บอกเลยว่าคุ้มเงินแล้ว
มุมกล้องจากท้องฟ้าพาเราท่องเข้าไปในดินแดนมัวร์วิ่งผ่านหน้าบรรดาสัตว์ประหลาด ลงไปวิ่งเลี่ยผิวน้ำ ผ่านดอกไม้นานาพรรณ เป็นประสบการณ์ที่รื่นเริงบันเทิงใจมากเหมือนนั่งเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกเลยครับ ฉากที่ประทับใจมากคือการออกแบบสวน “มาลีสุสาน” เป็นดอกไม้สีส้มสว่างท่ามกลางความมืดขึ้นอยู่เต็มผืนดิน ชวนให้คิดถึง”เห็ดกระสือ” ใน “แสงกระสือ” นั่นแหละ แต่โปรดักชันทุนหนาของฮอลลีวู้ดเขาทำได้ตื่นตากว่าก็ไม่แปลกหรอก
อีกฉากที่ต้องซู้ดปากชื่นชมไอเดียในการออกแบบคือรังของ “ดาร์กเฟย์” ที่หยิบไอเดียเรื่องการเอากิ่งไม้มาสานทอขึ้นเป็นรังแบบนก แต่นี่เป็นรังใหญ่มีทางเดินเชื่อมกันเป็นทางยาว เป็นการผสมผสานงานตกแต่งกับธรรมชาติได้กลมกลืนกันดีจริง ฉากมุมกว้างของพระราชวังอัลสตีดก็ดูอลังการเต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยมากมาย ดูมีความยิ่งใหญ่สมกับเป็นอาณาจักรใหญ่แต่ก็ยังให้ความรู้สึกแบบปราสาทราชวังในเทพนิยายอยู่ ฉากพิธีอภิเษกสมรสที่ตกแต่งพระราชวังด้วยไม้เลื้อยก็สวยงามมาก เอาเป็นว่าน่าชื่นชมมันหมดทุกฉากในเรื่องเลย ทีมงานออกแบบโคตรเก่ง
จุดสำคัญที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้คือตัวหลักของเรื่อง มาเลฟิเซ็นต์ ต่อให้หนังภาคนี้จะมีบาดแผลมากเพียงใด เสน่ห์ของแม่ก็สามารถเรียกคนมาดูได้อย่างแน่นอน แม่สามารถพยุงหนังทั้งเรื่องได้อยู่จริง ว่ากันตั้งแต่ฉากเปิดตัวเลย แองเจลินา โจลี่ สามารถถ่ายทอดความรู้สึกให้ตัวละครมาเลฟิเซนต์ดูยิ่งใหญน่าเกรงขามเสมอ
ยิ่งทำให้ชวนคิดอยู่บ่อยครั้งว่าถ้าไม่ใช่แองเจลินา แล้วจะมีใครเหมาะสมไปกว่านี้ บางอารมณ์ที่แม่อยากจะน่ารัก เอาแค่ฉากที่พยายามยิ้มยิงฟันเอาใจลูกสาว ก็ดูน่ารักชวนขันได้จริง ในฉากรบอีรุงตุงนังเมื่อเหล่าดาร์กเฟย์กำลังตกอยู่ในสภาวะคับขัน แล้วแม่ปรากฏตัวออกมานี่ถ้าตบมือได้ต้องร้อง เย่! ไปเลย มันได้อารมณ์แบบ “แม่มาแล้ว” ดูหนัง
จริง ๆ ถ้าเคยผิดหวังอยากเห็นการปรากฏตัวแบบอัศวินขี่ม้าขาวของ Captain Marvel ใน End Game แต่เธอไม่ได้โชว์เท่อย่างที่เรารอคอย มาเชียร์ขุ่นแม่มาเลฟิเซนต์ในภาคนี้แทน แม่มาแบบเท่ และ ไม่ผิดหวังจริง ๆ แม้กระทั่งท่าลงจอดแตะพื้น ที่ย่อเข่าแบบเบา ๆ ก็ยังดูดีเลย
Maleficent Mistress of Evil มาเลฟิเซนต์ นางพญาปีศาจ เป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ของดิสนีย์ ที่คุ้มค่าต่อการรอคอย การกลับมาอีกครั้งของตัวละครหลักนั้นทำให้คิดถึงหนังภาคแรกที่ออกฉาย รวมไปถึงเวอร์ชั่นการ์ตูนที่เคยดูสมัยเด็ก ถึงแม้ว่าพล๊อตเรื่องอาจจะไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก
แต่ด้วยเทคนิคการถ่ายทำ สเปเชียลเอฟเฟคสุดอลังการ และ คอสตูมแต่ละชุดที่จัดหนักจัดเต็มกันถึงเบอร์นี้ ก็เป็นส่วนผสมที่ทำให้ Maleficent Mistress of Evil มาเลฟิเซนต์ นางพญาปีศาจ นั้นเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่น่าไปดูประจำเดือนตุลาคมนี้
บทสรุปของ Maleficent: Mistress of Evil
รีวิวหนังใหม่ สรุปว่าหนังยังสนุกอยู่ บนมาตรฐานหนังแบบเทพนิยายคาดเดาได้ง่ายไม่มีอะไรซับซ้อน งานภาพสวยงาม อลังการ ขุ่นแม่ทำให้เรายิ้มได้บ่อย ๆ แต่เนื้อเรื่องออกทะเลไปไกล ดาร์กเกินขีดหนังดิสนีย์ที่เราคุ้นเคยไปพอควร มีตัวละครตาย ไม่สมควรได้เรต G อย่างที่ได้มา ผู้ปกครองถ้าพาเด็กเล็กไปดู ต้องทำหน้าที่อธิบายน้อง ๆ กันเยอะเลยล่ะครับ
คะแนนเนื้อเรื่อง 9/10 สาระของเนื้อหา หรือบทหนัง ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ แต่ก็ให้อภัย และ ทดแทนได้ด้วยบทบาทของมาลิฟิเซนต์ ที่ยังคงสมบทบาท และ ทำให้เราอินไปกับบทมมาเลฟิเซนต์ได้เหมือนภาคแรก แถมยังมีมุกตลกหน้าตายมาให้ขำเป็นช่วง ๆ
คะแนนเอฟเฟคต์ 10/10 คงไม่ต้องอธิบายอะไรเยอะเลยครับ เพราะว่าดิสนีย์ เค้าอลังการในเรื่องของCG และ วิชวลเอฟเฟคต์เด็ดดวงอยู่แล้ว แค่ 5 นาทีแรกก็คุ้มค่าราคาตั๋วหนังแล้วละครับ ไม่ว่าจะฉากพวกปิศาจในป่ามัวร์ หรือฉากต่อสู้ท้ายเรื่อง รับรองว่าอลังการถึงใจแน่นอน ดูหนังออนไลน์
ข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้
1. แม่ก็คือแม่ ประโยคนี้ได้ยินกันหนาหูมาก ๆ หลังจบภาคนี้ เพราะถึงแม้ว่ามาเลฟิเซนต์จะไม่เต็มใจนักกับการให้ออโรร่าแต่งงานกับฟิลลิป แต่ก็เพื่อความสุขของลูก แม้จะเป็นลูกเลี้ยง แม่ทูนหัวอย่างคุณแม่มาลีก็ยังเอาใจใส่ พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองในบางอย่างเพื่อไปพบ และ เจรจาให้ลูกสาวได้แต่งงานตามใจต้องการ
2. ราชินีอิงกริตที่จิตใจมีแต่ความโหดร้าย ใช้ลูกและสามีเป็นครื่องมือ และ ใส่ร้ายมาเลฟิเซนต์ว่าทำร้ายสวามีของตน เมื่อความจริงปรากฏ นางก็ไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งลูกและสามี เหมือนกรรมตามทันในความอำมหิตของนาง
หลังจากดูภาคนี้จบ ผมภาวนาให้มีหนังเรื่องดาร์กเฟย์ทำออกมาครับ เพราะไหน ๆ หนังก็ให้ความสำคัญกับเผ่าพันธุ์นี้แล้ว ก็อยากให้ทำหนังภาคแยกออกมาเลย เพราะเรื่องราวของพวกเค้าเหล่านั้นก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย